เอเอฟพี – โมฮัมเหม็ด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน ระบุในวันนี้ (25) ว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะส่งทหารอีก 1,500 คนไปยังตะวันออกกลางเป็น “ภัยคุกคามต่อสันติภาพโลก” สื่อทางการ รายงาน
“ขุมกำลังที่เพิ่มมากขึ้นของสหรัฐฯ ในภูมิภาคของเราเป็นอันตรายและภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ และต้องถูกคัดค้าน” ซารีฟ บอกกับสำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการก่อนกลับจากการเยือนปากีสถาน
วอชิงตัน ระบุว่า การส่งกำลังเสริมครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 เรือจู่โจมสะเทินน้ำสะเทินยก และระบบป้องกันขีปนาวุธเมื่อต้นเดือน เป็นการตอบสนองต่อปฎิบัติการโจมตีเมื่อไม่นานมานี้ที่ที่อนุมัติโดยผู้นำสูงสุดของอิหร่าน
การโจมตีเหล่านั้นรวมถึงจรวดลูกหนึ่งที่ถูกยิงเข้าสู่กรีนโซนในกรุงแบกแดด วัตถุระเบิดที่สร้างความเสียหายต่อเรือบรรทุก 4 ลำใกล้ปากอ่าว และการใช้โดรนโจมตีท่อส่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบียโดยฝีมือกบฏเยเมน
อิหร่านปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโจมตีใดๆ ทั้งสิ้น ซารีฟ กล่าวว่า “อเมริกันปั้นข้อกล่าวหาดังกล่าวขึ้นมาเพื่อสร้างชอบธรรมให้กับนโยบายสร้างปฏิปักษ์และเพื่อสร้างความตึงเครียดในอ่านเปอร์เซีย”
ในเดือนนี้ สหรัฐฯ ได้ยกเลิกข้อยกเว้นสุดท้ายที่พวกเขาคงไว้จากการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวที่พวกเขาบังคับใช้อีกครั้งหลังจากละทิ้งข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ระหว่างชาติมหาอำนาจและอิหร่านในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจอิหร่านที่ซบเซาอยู่แล้ว แม้แต่ฝ่ายที่วิจารณ์มาตรการคว่ำบาตรเป็นประจำอย่างตุรกียังประกาศว่า พวกเขาหยุดซื้อน้ำมันอิหร่านแล้ว
อิหร่านร้องขอให้ผู้ลงนามรายอื่นๆ ในข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ได้แก่ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย ช่วยพวกเขาจากการคว่ำบาตรรอบใหม่นี้ของสหรัฐฯ
อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีเริ่มใช้ระบบชำระเงินพิเศษที่เรียกกันว่า INSTEX เครื่องมือสนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางการค้า (Instrument in Support of Trade Exchanges) ในปลายเดือนมกราคมเพื่อช่วยให้อิหร่านสามารถทำการค้ากับบริษัทยุโรปได้อยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคม ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนาอี ระบุว่า กลไกดังกล่าวเป็น “เรื่องตลกอันน่าเศร้า”