อิหร่านกร้าวจะไม่ละทิ้งเป้าหมายแม้นหากถูกสหรัฐฯทิ้งบอมบ์ถล่ม

รอยเตอร์ - อิหร่านจะไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันของสหรัฐฯและจะไม่ละทิ้งเป้าหมายแม้หากถูกทิ้งระเบิดโจมตี จากคำประกาศกร้าวของประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานีในวันพฤหัสบดี(23พ.ค.) ยกระดับสงครามน้ำลายระหว่างเตหะรานกับสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารระดับสูงของอิหร่านระบุว่าเหตุเผชิญหน้าระหว่างเตหะรานกับวอชิงเป็นเป็นการปะทะกันของความมุ่งมั่น พร้อมเตือนว่าศัตรูหน้าไหนๆก็จะต้องเจอกับการตอบโต้บดขยี้ ตามรายงานของฟาร์สนิวส์ สื่อมวลชนกึ่งรัฐ

ความตึงเครียดระหว่างสองชาติร้อนระอุขึ้น หลังจากวอชิงตันเสริมกำลังทหารเข้าสู่ตะวันออกกลาง เพื่อสำแดงแสนยานุภาพต่อสิ่งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่าเป็นภัยคุกคามจากอิหร่านต่อกำลังพลและผลประโยชน์ของพวกเขาในภูมิภาค

หลังจากถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ที่อิหร่านทำไว้กับเหล่ามหาอำนาจโลก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาคว่ำบาตรเตหะรานอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วและยกระดับคว่ำบาตรเข้มข้นขึ้นช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยออกคำสั่งให้ทุกประเทศระงับการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน ไม่อย่างนั้นจะเสี่ยงเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ

"มากกว่า 1 ปี หลังการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรุนแรงเหล่านี้ ประชาชนของเราไม่อ่อนข้อต่อแรงกดดันใดๆ แม้ชีวิตของพวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากก็ตาม" รูฮานีกล่าว

รูฮานี กล่าวระหว่างร่วมพิธีรำลึกครบรอบสงครามอิหร่าน-อิรักในปี 1980-88 ต่อว่า "เราจำเป็นต้องอดกลั้น เพื่อให้ศัตรูของเราได้รู้ว่า หากระเบิดของพวกเขาตกลงบนพื้นแผ่นดินของเรา หากเด็กของเราได้รับความทุกข์ทรมาน บาดเจ็บหรือถูกจับเป็นนักโทษ เราจะไม่ยอมละทิ้งเป้าหมายของเรา สำหรับความเป็นอิสระของประเทศและความภาคภูมิใจของเรา"

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(19พ.ค.) ทรัมป์ เขียนบนทวิตเตอร์ว่า "หากอิหร่านต้องการสู้รบ มันจะเป็นจุดจบอย่างเป็นทางการของอิหร่าน ไม่อาจข่มขู่สหรัฐฯได้อีกต่อไป!" พร้อมกันนั้น ทรัมป์ ยังเรียกร้องให้ อิหร่าน หวนคืนสู่โจณะเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงใหม่ สำหรับระงับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของพวกเขา