เอเอฟพี – สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือประณาม โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเป็นพวก “ปัญญาอ่อน” และ “คนโง่ไอคิวต่ำ” หลังออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำ คิม จองอึน
ไบเดน ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดี 2 สมัยในยุคของ บารัค โอบามา อยู่ระหว่างเดินสายหาเสียง หลังประกาศจะลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ในนามพรรคเดโมแครต
อย่างไรก็ตาม คำปราศรัยของ ไบเดน บางช่วงบางตอนที่พาดพิงถึงผู้นำ คิม ได้สร้างความไม่พอใจต่อรัฐบาลเปียงยาง จนนำมาสู่การตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนโดยสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA)
สื่อโสมแดงระบุว่า ไบเดน “พูดให้ร้ายผู้นำสูงสุด” ของตน และวิจารณ์อดีต ส.ว. อเมริกันว่ากำลัง “ทะเยอทะยานอยากได้อำนาจ จนไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ”
“สิ่งที่เขาพูดก็คือข้อโต้แย้งผิดๆ ของคนปัญญาอ่อนที่ขาดคุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ อย่าว่าแต่จะเป็นนักการเมืองเลย”
เคซีเอ็นเอไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ไบเดน พูดอะไรที่เป็นการดูหมิ่นคิม แต่ระหว่างการปราศรัยที่เมืองฟิลาเดลเฟียเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (18) ไบเดน ได้วิจารณ์นโยบายของ ทรัมป์ ต่อผู้นำเกาหลีเหนือและรัสเซีย โดยกล่าวหาประธานาธิบดีว่าพยายามผูกมิตรกับ “พวกทรราชอย่าง (วลาดิมีร์) ปูติน และ คิม จองอึน”
ทรัมป์ ถือเป็นประธานาธิบดีในตำแหน่งคนแรกของสหรัฐฯ ที่ได้พบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ โดยจัดการประชุมซัมมิตครั้งแรกกับ คิม จองอึน ที่สิงคโปร์เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว และยืนยันเรื่อยมาว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีมากกับ คิม
แม้ว่า ไบเดน ยังจะต้องแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ในศึกเลือกตั้งไพรแมรีของพรรคเดโมแครต แต่นักวิเคราะห์และคนในพรรคเองก็มองว่าเขาเป็น ‘เต็งหนึ่ง’ ที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวมาจาก ทรัมป์ ได้
สื่อเกาหลีเหนือยังขุดคุ้ยประวัติส่วนตัวที่น่าอับอายของ ไบเดน ออกมาแฉ ตั้งแต่เรื่องที่เขาเคยลอกงานคนอื่นจนได้เกรด F ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย, ก็อปปี้สุนทรพจน์ของ นีล คินน็อค อดีตหัวหน้าพรรคแรงงานของอังกฤษ และงีบหลับขณะที่ โอบามา กล่าวสุนทรพจน์เมื่อปี 2011
ผู้หญิงหลายคนได้ออกมาอ้างว่าเคยถูก ไบเดน สัมผัสร่างกายอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งสไตล์การเข้าถึงเนื้อถึงตัวและรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวเช่นนี้ทำให้ ไบเดน ถูกเพ่งเล็งในยุคที่กระแส #MeToo กำลังมาแรง
“เราไม่มีค่าพอที่จะตั้งความหวัง” เคซีเอ็นเอ ระบุ แถมยังด่าอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเป็น “คนโง่ไอคิวต่ำ” ด้วย
นโยบายที่สหรัฐฯ มีต่อเกาหลีเหนือคาดว่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้สมัครทั้ง 2 พรรคการเมืองนำมาอภิปราย ทั้งในศึกเลือกตั้งไพรแมรีและศึกชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ