รอยเตอร์ – รองนายกฯ จีนเผยเห็นพ้องกับอเมริกาในการเปิดเจรจาการค้าต่อที่ปักกิ่ง และคิดว่าสามารถบรรลุข้อตกลงได้ แม้ยังมีปัญหาบางอย่างที่จีนคงยอมอ่อนข้อให้ไม่ได้ พร้อมแสดงความมั่นใจว่า เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งเพียงพอจะต้านทานผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรล่าสุดได้ แต่ขุนคลังสหรัฐฯ กลับให้ข่าวสวนทางว่า ยังไม่มีแผนหารือกับจีนในขณะนี้ ขณะที่ทรัมป์สั่งเริ่มกระบวนการเพื่อขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าที่นำเข้าจากแดนมังกรที่เหลืออยู่ทั้งหมด
รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีน ให้สัมภาษณ์ในวอชิงตันเมื่อวันศุกร์ (10 พ.ค.) ว่าการเจรจาไม่ได้ล่ม แต่ตนคิดว่า ความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจีนยังคงมองโลกแง่ดี
อย่างไรก็ตาม สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กลับเปิดเผยกับเครือข่ายซีเอ็นบีซีในวันเดียวกันว่า อเมริกาไม่มีแผนเจรจากีบจีนต่อ “ในขณะนี้”
ต่อมาในวันเสาร์ (11 พ.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตว่า ถ้าจีนรู้สึกว่า ถูกบีบคั้นอย่างหนักในการเจรจาล่าสุดที่ปิดฉากลงเมื่อวันศุกร์ และคิดว่า ควรรอการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้าที่เดโมแครตอาจชนะ เพื่อที่ตัวเองจะได้รีดเค้นอเมริกาปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์ต่อไปนั้น เขาคิดว่า จีนจะต้องผิดหวังและเผชิญข้อตกลงที่เลวร้ายกว่าเดิม เนื่องจากตัวเขาจะได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างแน่นอน
วอชิงตันขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% เมื่อวันศุกร์ โดยทรัมป์ระบุว่า ปักกิ่งผิดคำพูดที่ให้ไว้ระหว่างการเจรจาหลายเดือนที่ผ่านมา ทางด้านจีนแถลงคัดค้านการขึ้นภาษีครั้งล่าสุด และยืนยันว่า จำเป็นต้องตอบโต้
หลิวให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจีนกลุ่มเล็กๆ ว่า ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจตรงกันในหลายเรื่อง แต่ก็เห็นต่างในหลายประเด็นเช่นเดียวกันซึ่งเป็นเรื่องของหลักการที่จีนไม่สามารถยินยอมได้ และสำทับว่า จะมีการหารือกันต่อที่ปักกิ่ง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ตอกย้ำว่า การเจรจาปราศจากความคืบหน้าอย่างชัดเจน และทรัมป์มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เตรียมการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลืออยู่ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์
แถลงการณ์ที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรเพิ่มเติม
ในวันอาทิตย์ (12 พ.ค.) โกลบัล ไทมส์ แท็บลอยด์ที่ตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ พีเพิลส์ เดลี่ ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เผยแพร่บทบรรณาธิการที่ระบุว่า อเมริกาประเมินความสามารถในการรับมือปัญหาของจีนต่ำเกินไป และวอชิงตันพยายามเพิ่มเงื่อนไขที่ส่งผลลบต่ออธิปไตยและศักดิ์ศรีของจีน หรือไม่เท่าเทียมและไม่เป็นจริงอย่างร้ายแรง ซึ่งข้อเรียกร้องเหล่านั้นทำให้การเจรจายากลำบากขึ้น
ขณะเดียวกัน หลิวเปิดเผยกับสถานีทีวีฟินิกซ์ในฮ่องกงที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปักกิ่งว่า จีนและอเมริกามีความคิดเห็นแตกต่างกัน 3 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรกคือ จีนเชื่อว่า ภาษีศุลกากรเป็นต้นเหตุของข้อพิพาททางการค้า ซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายต้องการบรรลุข้อตกลงก็ต้องยกเลิกภาษีศุลกากรทั้งหมด ประการที่สองเกี่ยวกับการจัดซื้อที่ผู้นำสองประเทศเห็นพ้องกันระหว่างการหารือที่อาร์เจนตินาปลายปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกลับเห็นต่างกันในเรื่องมูลค่า ส่วนประการที่สามเป็นเรื่องถ้อยคำที่สมดุลของร่างข้อตกลง เพื่อสะท้อนถึงศักดิ์ศรีของแต่ละประเทศ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แหล่งข่าวกลุ่มหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ปักกิ่งยกเลิกสัญญาในร่างข้อตกลงที่ระบุว่า จีนจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อแก้ไขข้อร้องเรียนหลักของอเมริกา ได้แก่ การขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลลับทางการค้า การบังคับถ่ายโอนเทคโนโลยี นโยบายด้านการแข่งขัน การเข้าถึงบริการทางการเงิน และการแทรกแซงค่าเงิน
หลิวปฏิเสธว่า จีนไม่ได้คืนคำ แต่คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขก่อนข้อตกลงขั้นสุดท้าย และทั้งสองฝ่ายมีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับการถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงนั้น รองนายกรัฐมนตรีจีนยังหวังว่าปัญหาต่างๆ จะได้รับการแก้ไข ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจในขณะนี้
พีเพิลส์ เดลี่ แสดงความคิดเห็นตอกย้ำมุมมองของหลิวผ่านบทความในฉบับวันเสาร์ว่า จีนต้องการมูลค่าการจัดซื้อที่เป็นจริงได้ ถ้อยคำในข้อตกลงที่สะท้อนความเท่าเทียม และเงื่อนไขที่ประชาชนจีนยอมรับได้ ซึ่งไม่บ่อนทำลายอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศ
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความกังวลภายในจีนเรื่องผลกระทบจากการขึ้นภาษีของอเมริกา หลิวแสดงความเชื่อมั่นว่า จีนมีนโยบายการคลังและการเงินที่สามารถนำมาใช้ได้อีกมากมาย และเศรษฐกิจขณะนี้เข้าสู่วงจรขาขึ้นแล้ว หลังจากผ่านช่วงตกต่ำพอประมาณในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ต้นสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน แบงก์ชาติแดนมังกรประกาศลดการกันสำรองสำหรับธนาคารขนาดกลางและเล็กบางแห่ง พร้อมอัดฉีดเงินทุนเพิ่มเพื่อปล่อยกู้ให้แก่บริษัทที่ขาดแคลนเงินสด