เอเจนซีส์ – ศรีลังกาทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิวรอบใหม่ในวันจันทร์ (22 เม.ย.) ขณะเปิดเผยรายละเอียดว่า มือระเบิดฆ่าตัวตาย 7 คนมีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีโบสถ์และโรงแรมหรูหลายแห่งทั่วประเทศเมื่อวันอาทิตย์ (21) ซึ่งสังหารเหยื่อไปถึง 290 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 500 คน โดยรัฐบาลเชื่อว่า เหตุรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษครั้งนี้เป็นฝีมือกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในท้องถิ่นที่มีการโยงใยกับต่างชาติ ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตือนว่า กลุ่มก่อการร้ายยังคงมีแผนโจมตีในศรีลังกาและเป้าหมายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ศูนย์กลางการขนส่ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ
อริยะนันดา เวเลียงกา เจ้าหน้าที่อาวุโสในสำนักงานนิติเวช ของรัฐบาลศรีลังกา เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (22) ว่า มือระเบิดฆ่าตัวตาย 2 คนระเบิดตัวเองในโรงแรมแซงกรีลาในกรุงโคลัมโบ ส่วนมือระเบิดที่เหลืออีก 5 คนแยกย้ายโจมตีโบสถ์ 3 แห่งและโรงแรมอีกสองแห่ง โดยก่อเหตุเมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันอีสเตอร์ของศาสนาคริสต์ (วันที่ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูกลับฟื้นคืนชีพ 3 วันภายหลังสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน)
โรงแรมแห่งที่สี่และบ้านหลังหนึ่งชานเมืองโคลอมโบที่กองกำลังความมั่นคงเข้าบุกค้นในช่วงบ่ายถูกโจมตีเช่นเดียวกันแต่ยังไม่มีรายละเอียดรูปแบบการโจมตี รวมทั้งยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดทั้งหมดนี้ อย่างไรก็ดี จนถึงวันจันทร์ ตำรวจสามารถจับกลุ่มผู้ต้องสงสัยได้ 24 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวศรีลังกา
แม้รัฐบาลให้รายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวเหล่านี้เนื่องจากเกรงว่า จะทำให้เกิดความขัดแย้งด้านศาสนาและชาติพันธุ์ แต่แหล่งข่าวที่เป็นนายตำรวจอาวุโสเผยว่า ผู้ถูกควบคุมตัว 13 คนที่ถูกจับกุมรอบแรกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง
ราจิตา เสนารัตนี โฆษกรัฐบาลศรีลังกาแถลงในเวลาต่อมาว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนกำลังตรวจสอบว่า กลุ่มเอ็นทีเจ (เนชันแนล ทาวฮีธ จามาอัธ) ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในศรีลังกาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายพระพุทธรูปเมื่อปีที่แล้ว ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติในการก่อเหตุเมื่อวันอาทิตย์หรือไม่
แม้มีข้อมูลเกี่ยวกับเอ็นทีเจน้อยมาก แต่เอกสารที่สำนักข่าวเอเอฟพีเห็นมาระบุว่า ปูจูธ จายาซุนดารา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของศรีลังกา ได้ส่งข่าวกรองแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ระดับสูง 10 คนเมื่อ 10 วันที่แล้ว โดยอ้างอิงหน่วยข่าวกรองต่างชาติแห่งหนึ่งที่รายงานว่า กลุ่มเอ็นทีเจกำลังวางแผนโจมตี “โบสถ์ชื่อดัง” รวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ (สถานเอกอัครราชทูต) ของอินเดียในกรุงโคลัมโบของศรีลังกา ด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีรานิล วิกรมสิงเห ยอมรับว่า รัฐบาลได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการโจมตีโบสถ์โดยกลุ่มอิสลามที่แทบไม่เป็นที่รู้จัก แต่ไม่ได้แจ้งให้บรรดารัฐมนตรีทราบ และสำทับว่า ขณะนี้กำลังสอบสวนว่า เหตุใดจึงไม่มีการเตรียมมาตรการรับมืออย่างเหมาะสมทั้งที่ได้รับข่าวกรองแจ้งเตือน
ความผิดพลาดครั้งนี้อาจเกิดจากความไม่ลงรอยระหว่างนายกรัฐมนตรีวิกรมสิงเห และประธานาธิบดีไมตรีปาละ สิริเสนา โดยปีที่แล้วสิริเสนาปลดวิกรมสิงเหและแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้าน มหินทรา ราชปักษา รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น สิริเสนาถูกศาลสูงสุดบีบให้แต่งตั้งวิกรมสิงหากลับสู่ตำแหน่ง อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงปีนเกลียวขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีใกล้เข้ามา
รายงานระบุว่า เหตุระเบิดสี่ครั้งแรกเกิดขึ้นเกือบพร้อมกันเมื่อเวลา 8.45 น. และอีก 2 ครั้งเกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่เกิน 20 นาที ส่วนเหตุระเบิดโรงแรมแห่งที่สี่และบ้านอีกหลังเกิดขึ้นช่วงบ่าย รวมมีผู้เสียชีวิต 290 คน และบาดเจ็บกว่า 500 คน โดยในบรรดาผู้เสียชีวิตมีชาวต่างชาติอย่างน้อย 37 คน โดยมีทั้ง ชาวอังกฤษ อเมริกัน ตุรกี อินเดีย จีน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกส
แหล่งข่าวในรัฐบาลเผยว่า สิริเสนาที่เดินทางไปต่างประเทศขณะเกิดเหตุ เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติในวันจันทร์ ซึ่งวิกรมสิงเห จะร่วมหารือด้วย
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตือนในคำแนะนำการเดินทางว่า กลุ่มก่อการร้ายยังคงมีแผนโจมตีในศรีลังกาและเป้าหมายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ฮับขนส่ง ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ
ด้านรัฐบาลศรีลังกาประกาศในวันจันทร์ ใช้มาตรการเคอร์ฟิวอีกครั้งระหว่างเวลา 20.00 น. วันจันทร์ ถึง 4.00 น. วันอังคาร (23) เนื่องจากสถานการณ์ยังคงตึงครียด หลังจากเพิ่งมีคำสั่งยกเลิกเคอร์ฟิวเมื่อเช้าวันจันทร์
นอกจากนั้นสำนักประธานาธิบดียังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำกัดเฉพาะกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย โดยจะเริ่มบังคับใช้หลังเที่ยงคืนวันจันทร์
ขณะที่โฆษกกองทัพอากาศศรีลังกาแถลงว่า ทหารที่ตรวจตราเพื่อเตรียมเส้นทางสำหรับการเดินทางกลับของสิริเสนาจากสนามบินโคลอมโบ พบระเบิดแบบทำขึ้นเองใกล้ประตูทางออกจากสนามบิน แต่สามารถเก็บกู้และทำลายแล้ว
นอกจากนั้นตำรวจยังพบที่จุดระเบิด 87 อัน ในจำนวนนี้ 12 อันตกกระจัดกระจายอยู่ในสถานีขนส่ง ส่วนอีก 75 อันพบในถังขยะบริเวณใกล้เคียง
รายงานระบุว่า ด้วยสถานการณ์ที่ยังคงตึงเครียดอย่างยิ่ง รัฐบาลได้ส่งทหารติดอาวุธกระจายกำลังรักษาความปลอดภัยหน้าโรงแรมขนาดใหญ่และศูนย์เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ และก็เป็นย่านที่ตั้งของโรงแรม 4 แห่งที่ถูกโจมตี นอกจากนั้นรัฐบาลยังคงบล็อกการใช้งานโซเชียลมีเดียและแอปรับส่งข้อความ อาทิ เฟซบุ๊ก และวอตส์แอป เพื่อป้องกันการปล่อยข่าวปลอม
การโจมตีเมื่อวันอาทิตย์จุดชนวนความกังวลว่า อาจเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากตำรวจรายงานว่า มีการโจมตีด้วยระเบิดขวดที่มัสยิดแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และการลอบวางเพลิงร้านค้าสองแห่งของชาวมุสลิมทางภาคตะวันตก
ทั้งนี้ ศรีลังกาที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ทำสงครามต่อสู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชนกลุ่มน้อยชาวทมิฬมาหลายทศวรรษ แต่ความรุนแรงยุติลงนับจากที่รัฐบาลชนะในสงครามกลางเมืองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ภายหลังเกิดเหตุโจมตีล่าสุดในศรีลังกาคราวนี้ ทั่วโลกต่างออกมาแถลงประณาม ในจำนวนนี้รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพระสันตะปาปาฟรานซิส