เอเอฟพี - กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สั่งห้ามพลเมืองซาอุดีอาระเบีย 16 คนเดินทางเข้าประเทศจากกรณีการสังหารคอลัมนิสต์คนดัง จามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) ในขณะที่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงถูกติเตียนอย่างหนักว่าเพิกเฉยต่อคดีฆาตกรรมสุดโหดนี้
คาช็อกกี ซึ่งทำงานกับวอชิงตันโพสต์และมักจะเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ซาอุฯ อยู่บ่อยๆ ถูกทีมนักฆ่าจากริยาด 15 คนสังหารและหั่นทำลายศพเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ขณะเข้าไปติดต่อสถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูล ซึ่งถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ทำให้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซาอุฯ กลับมาเป็นที่สนใจในระดับนานาชาติ
วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งได้ข้อมูลมาจากสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ได้ลงมติกล่าวโทษเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุฯ ว่าทรงเป็นผู้ที่ต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการตายของคาช็อกกี
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐฯ กลับทำเป็นนิ่งเฉยไม่แสดงจุดยืนต่อต้านเจ้าชายผู้ทรงอิทธิพลพระองค์นี้ และยังย้ำอีกด้วยว่าริยาดคือลูกค้าอาวุธรายใหญ่ และเป็นพันธมิตรสำคัญที่จะช่วยสหรัฐฯ ต่อกรกับอิหร่าน
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศรายชื่อพลเมืองซาอุฯ 16 คนที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศภายใต้กฎหมาย Department of State, Foreign Operations, and Related Programs Appropriations Act โดยกฎหมายฉบับนี้ระบุเอาไว้ว่า หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชัน หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง บุคคลเหล่านั้นรวมถึงสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดจะไม่มีสิทธิ์เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งเพิกถอนวีซ่าเจ้าหน้าที่ซาอุฯ เกือบ 20 คน และอายัดทรัพย์สินพลเมืองซาอุฯ อีก 17 คน
รัฐบาลซาอุฯ เคยปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นเรื่องการหายตัวไปของคาช็อกกี ทว่าต่อมาก็ยอมรับว่าเขาถูกฆ่าตายด้วยฝีมือ “เจ้าหน้าที่แหกคอก” และได้นำตัวผู้ต้องสงสัย 11 คนมาดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงหลายอย่างในคดีนี้ยังถูกปกปิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด
วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างญัตติยกเลิกปฏิบัติการสนับสนุนทางทหารต่อซาอุฯ ในสงครามเยเมน และล่าสุดญัตติดังกล่าวก็ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกำลังถูกส่งไปให้ ทรัมป์ ลงนาม ซึ่งคาดว่าผู้นำสหรัฐฯ คงจะใช้อำนาจ ‘วีโต’
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อเดือน มี.ค. ว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงตั้งทีมปฏิบัติภารกิจลับเพื่อปิดปากผู้ต่อต้านราชวงศ์ก่อนที่ คาช็อกกี จะถูกสังหารถึง 1 ปี โดยมีตั้งแต่การสอดแนม ลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว และทรมาน
เจ้าหน้าที่อเมริกันเรียกทีมดังกล่าวว่า “กลุ่มปฏิบัติการแทรกแซงเคลื่อนที่เร็วของซาอุฯ” (Saudi Rapid Intervention Group)