เอเอฟพี – สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ทรงร่วมกับพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ 6 แห่งโมร็อกโก แถลงในวันเสาร์ (30 มี.ค.) ว่า นครเยรูซาเลมควรที่จะเป็น “สัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันโดยสันติ” สำหรับชาวคริสต์, ชาวยิว, และชาวมุสลิม ในวันแรกที่พระองค์เสด็จเยือนประเทศในแอฟริกาเหนือแห่งนี้
องค์ผู้นำในทางจิตวิญญาณของชาวคาทอลิกทั่วโลก 1,300 ล้านคน เสด็จไปโมร็อกโกตามคำทูลเชิญของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 6 เพื่อประโยชน์แห่ง “การสนทนากันระหว่างศาสนาต่างๆ” ทั้งนี้ตามการแถลงของเหล่าเจ้าหน้าที่รับผิดขอบของโมร็อกโก
ในคำแถลงร่วมที่ออกเมื่อวันเสาร์ พระประมุขทั้งสองตรัสว่า นครเยรูซาเลมเป็น “ทรัพย์สินมรดกร่วมของมนุษยชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสาวกผู้ศรัทธาในศาสนาที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียวทั้ง 3 ศาสนา”
“คุณลักษณะพหุศาสนาอย่างเป็นพิเศษ, มิติทางจิตวิญญาณ, และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันเป็นเฉพาะของเยรูซาเลม ... จักต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมสนับสนุน” ทั้งสองพระองค์ตรัสในคำแถลงร่วมฉบับนี้ ซึ่งเผยแพร่โดยสำนักวาติกันขณะพระสันตะปาปาเสด็จเยือนกรุงราบัต
พระราชาธิบดีแห่งโมร็อกโกพระองค์นี้ ทรงเป็นประธานของคณะกรรมการชุดหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นโดยองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) เพื่อปกป้องและฟื้นฟูมรดกทางศาสนา, ทางวัฒนธรรม, และทางสถาปัตยกรรมของนครเยรูซาเลม
คำแถลงร่วมนี้ออกมาหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศยอมรับนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งจุดประกายให้เกิดความโกรธแค้นไปทั่วทั้งโลกมุสลิม โดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ ที่ถือว่าเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงในรัฐปาเลสไตน์ซึ่งจะต้องจัดตั้งขึ้นมาให้สำเร็จในอนาคตข้างหน้า