เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ของจีน พูดเตือนระหว่างกล่าวรายงานกิจการรัฐบาลประจำปีเมื่อวันอังคาร (5 มี.ค.) ว่าแดนมังกรกำลังเผชิญ “การต่อสู้อันยากลำบาก” พร้อมกับเปิดเผยแผนการตัดลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อขับดันอัตราเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังเชื่องช้าลง สืบเนื่องจากดีมานด์ภายในประเทศอ่อนตัวและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ กระนั้นในอีกด้านหนึ่งปักกิ่งก็เพิ่มงบประมาณทางทหารขึ้นไป 7.5% หรือคิดเป็นตัวเงินก็เกือบๆ 180,000 ล้านดอลลาร์
หลี่กล่าวในวาระเปิดการประชุมเต็มคณะประจำปีของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือก็คือรัฐสภาของจีน ซึ่งจัดขึ้นที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งว่า รัฐบาลกำลังตั้งเป้าหมายการเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2019 นี้เอาไว้ที่ช่วงระหว่าง 6.0 ถึง 6.5% ต่ำลงจากปี 2018
การประชุมคราวนี้มีผู้แทนเกือบๆ 3,000 คนจากท้องที่ต่างๆ และแวดวงต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมการหารือกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวด โดยวาระซึ่งได้รับความสนใจติดตามเป็นพิเศษจากต่างประเทศ ได้แก่การพิจารณารับรองร่างกฎหมายที่จะปรับปรุงสภาพเงื่อนไขต่างๆ ให้แก่พวกนักลงทุนต่างชาติ
“ในการมุ่งมั่นดำเนินการพัฒนาในปีนี้ เราจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่สาหัสร้ายแรงและสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับที่ความเสี่ยงต่างๆ และการท้าทายต่างๆ … ก็ใหญ่โตขึ้นมากทั้งในด้านจำนวนและในด้านขนาด” หลี่ ระบุในคำรายงานของเขาพร้อมกับย้ำว่า “เราจะต้องเตรียมพร้อมให้เต็มที่สำหรับการต่อสู้อันยากลำบาก”
เมื่อปี 2018 รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายอัตราเติบโตเอาไว้ที่ราวๆ 6.5% และในที่สุดทางการจีนระบุว่าทำได้ที่ 6.6% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบระยะเวลาเกือบ 30 ปี ถึงแม้ยังคงสูงจนเป็นที่อิจฉาของประเทศอื่นๆ จำนวนมากในโลก ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ามณฑลต่างๆ ประมาณ 3 ใน 4 ของจีนเวลานี้ก็ได้หั่นลดเป้าหมายการเติบโตในปี 2019 ของพวกเขาลงไปแล้วเช่นเดียวกัน
ลดภาษี-เพิ่มการใช้จ่าย
“เราได้ปรับการคาดการณ์ของเราลงมาพอประมาณ บนพื้นฐานของการประเมินอย่างถี่ถ้วนถึงปัจจัยต่างๆที่ส่งผลสั่นคลอนเสถียรภาพ ตลอดจนความไม่แน่นอนทั้งหลายที่กำลังกระทบกระเทือนผลประกอบการทางเศรษฐกิจ” หลี่บอก
เพื่อต่อสู้กับอัตราการเติบโตที่กำลังชะลอลง เหล่าผู้วางนโยบายทั้งหลายระบุว่าพวกเขาจะใช้ทั้งมาตรการลดภาษีให้ต่ำลง, ลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ลงมา, และขจัดลดถอนความไร้ประสิทธิภาพต่างๆ
ขณะที่หลี่แจกแจงว่า จีนจะลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากพวกบริษัทผู้ผลิตอุตสาหกรรมลงจาก 13% เหลือ 16% ส่วนพวกอุตสาหกรรมการขนส่งและการก่อสร้างจะต่ำลง 1% คือจาก 10% เหลือ 9% นอกจากนั้นยังจะลดเงินค่าธรรมเนียมที่นายจ้างต้องจ่ายสมทบให้แก่ลูกจ้างพนักงานในเรื่องการประกันสังคม ทั้งหมดเหล่านี้รวมกันแล้วจะลดลงมาทั้งสิ้นเกือบๆ 2 ล้านล้านหยวน
ในอีกด้านหนึ่ง ปักกิ่งตั้งเป้าหมายที่จะสร้างตำแหน่งงานตามตัวเมืองใหญ่เพิ่มขึ้นมา 11 ล้านตำแหน่งในปีนี้ และคงอัตราการว่างงานในเขตตัวเมืองใหญ่เอาไว้ไม่ให้เกิน 4.5% ซึ่งก็อยูในแนวเดียวกับเป้าหมายของเมื่อปี 2018 นอกจากนั้น หลี่บอกว่าจะเพิ่มงบประมาณการใช้จ่าย โดยที่เป้าหมายการขาดดุลงบประมาณซึ่งกำหนดเอาไว้ในปีนี้จะสูงขึ้นไปอยู่ในระดับ 2.8% ของจีดีพี จากปีที่แล้วอยู่ที่ 2.6%
“พวกเขาจำเป็นต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ กับการที่จะต้องไม่เริ่มต้นทำให้เกิดการบูมชนิดก่อหนี้สินขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง” ไถ่ ฮุ่ย แห่ง เจพี มอร์แกน แอสเซซต แมเนจเมนต์ กล่าวให้ความเห็น
ขณะที่ในคำรายงานของหลี่ เขาย้ำว่านโยบายด้านการคลังจะ “อยู่ในลักษณะเชิงรุก” แต่นโยบายด้านการเงินจะยังคง “รอบคอบระมัดระวัง” เขายังเผยว่าจะตัดลดสัดส่วนปริมาณเงินสำรองของพวกธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กลงมา เพื่อให้มีเงินทุนสำหรับการปล่อยกู้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
เพิ่มงบประมาณทางทหาร
ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง แต่รายงานแยกต่างหากอีกฉบับหนึ่งของกระทรวงการคลังจีนซึ่งเผยแพร่ในวันอังคาร (5) เช่นเดียวกัน ระบุว่ายอดงบประมาณใช้จ่ายทางทหารของแดนมังกรในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 7.5% กลายเป็น 1.2 ล้านล้านหยวน จัดว่าต่ำลงมาจากปีที่แล้วซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตรา 8.1%
เย่ กัง ผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร ซึ่งเป็นพันเอกทหารบกจีนผู้เกษียณอายุแล้ว ให้ความเห็นว่าการที่งบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นค่อนข้างพอประมาณเช่นนี้ (ต่ำลงมาจากช่วงหลายๆ ปีก่อนซึ่งเพิ่มอยู่ในอัตราตัวเลขสองหลัก) ถือเป็นการสะท้อนภาวะทางเศรษฐกิจอย่างใหม่ที่จีนกำลังเผชิญอยู่
“เป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่าสำหรับจีน ในการเตรียมตัวสำหรับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ แทนที่จะเป็นสงครามทางกายภาพ” เย่บอก พร้อมกับชี้ว่า “การปฏิรูประดับพื้นฐานของโครงสร้างและระบบทางการทหารของจีนเวลานี้เกือบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งจีนก็ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายในเรื่องที่มีความเร่งด่วนมากกว่า”
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯเลวร้ายลงอย่างแรงเมื่อปีที่แล้ว ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นพิกัดศุลกากรเอากับสินค้าจีนที่นำเข้าอเมริกาถึงประมาณครึ่งหนึ่ง ในความพยายามที่จะบังคับให้ปักกิ่งอ่อนข้อในทางการค้า
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวแสดงความมั่นใจในช่วงหลังๆ มานี้ว่า อีกไม่นานเขาจะลงนามในดีลทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้
รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ ของสหรัฐฯ กล่าวในวันจันทร์ (5) ว่า เขาคิดว่าทั้งสองประเทศกำลัง “อยู่ตรงขอบ” ของการทำความตกลงกันเพื่อยุติสงครามการค้ากันได้แล้ว
ขณะที่ จง ซาน รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเดียวกันว่า “เวลานี้ทั้งสองทีมยังคงเจรจากันอยู่ ยังมีอะไรเหลืออยู่อีกเยอะที่จะต้องทำกัน” ถึงแม้เขาจะกล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะ “ผ่าทางตันในบางเรื่อง” ได้แล้ว
สำหรับหลี่ เขาระบุในคำรายงานของเขาคราวนี้ว่า จีนจะทำความตกลงแก้ไข “ข้อพิพาททางการค้าโดยผ่านการถกเถียงหารือกันในฐานะผู้มีความเท่าเทียมกัน”
เขากล่าวว่าจีนจะยังคงส่งเสริมการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และให้คำมั่นผูกพันกับการพิทักษ์ป้องกันโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจและการค้าเสรี
คำรายงานของหลี่ยังระบุว่า จีนจะปรับปรุงยกระดับต่อไปอีกในเรื่องการให้การลงทุนของต่างประเทศสามารถเข้าถึงตลาดจีน และในเรื่องการสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งกิจการของจีนและกิจการต่างประเทศ “ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และเข้าทำการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม”
ในการประชุมเต็มคณะของรัฐสภาจีนคราวนี้ วาระหนึ่งซึ่งได้รับความสนใจมากจากต่างประเทศโดยที่คาดกันว่าจะมีการพิจารณากันในวันศุกร์หน้า (15) ได้แก่การพิจารณาผ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการลงทุนของต่างชาติ และการห้ามไม่ให้บังคับกิจการต่างประเทศต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีให้แก่ผู้ร่วมลงทุนฝ่ายจีน