เอเจนซีส์ - ซัมมิตทรัมป์-คิมรอบสองที่ฮานอย จบลงกะทันหันโดยปราศจากข้อตกลงใดๆ ประธานาธิบดีอเมริกันเผยตัดสินใจ “เดินออกมาฉันมิตร” เนื่องจากผู้นำเกาหลีเหนือยืนกรานให้ยกเลิกมาตรการแซงก์ชัน ทางด้านเกาหลีใต้บ่นน่าเสียดาย แต่เชื่อว่า มีความคืบหน้าสำคัญเกิดขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ แต่บางคนเห็นว่า ถ้าไม่ได้ข้อตกลงที่ดี ไม่มีเลยยังดีกว่า
ซัมมิตระหว่างสองผู้นำที่คาดหวังต่อยอดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์หนแรกที่สิงคโปร์ กลับไม่มีการลงนามแถลงการณ์ร่วมตามกำหนดเดิม และการหารือจบลงก่อนกำหนดเวลาแบบไร้ข้อสรุป
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสฯ (28 ก.พ.) ก่อนขึ้นเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ฟอร์ซ วัน” จากฮานอยกลับวอชิงตันว่า เกาหลีเหนือต้องการให้ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันทั้งหมด ซึ่งอเมริกาไม่สามารถยินยอมได้ แต่ยืนยันว่า เป็นการยุติการเจรจาฉันมิตร
กระนั้น ผู้นำทำเนียบขาวมองแง่ดีว่า มีความคืบหน้าทั้งก่อนและระหว่างการหารือซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคต และสิ่งสำคัญคือ ไม่ควรรีบร้อนทำข้อตกลงที่เลวร้าย
ทรัมป์ตั้งข้อสังเกตว่า คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ให้คำมั่นว่า จะไม่ฟื้นการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาอ้างอิงก่อนหน้านี้ว่า เป็นความสำเร็จ พร้อมกันนั้นเขาก็ย้ำว่าเขากับคิมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกัน
ผลลัพท์จากการประชุมสุดยอดในฮานอยที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันพุธ (27 ก.พ.) ออกมาต่ำกว่าที่หลายคนคาดหวังไว้ หลังจากที่มีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ว่า ซัมมิตครั้งแรกที่สิงคโปร์เป็นเพียงฉากหน้าหรูหราแต่ขาดสาระสำคัญ
ทรัมป์และคิมยุติการประชุมโดยไม่มีการกำหนดแผนการนัดพบครั้งที่ 3 แม้ทรัมป์กล่าวว่า หวังจะได้พบคิมอีกครั้งในไม่ช้า
แอนกิต แพนดา จากสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเตือนผ่านทวิตเตอร์ว่า เกาหลีเหนืออาจไม่คิดว่า จะต้องมีการเจรจาครั้งต่อๆ ไปเหมือนที่ทำเนียบขาวคาดหวัง
ทั้งนี้ ในกำหนดการดั้งเดิมของทำเนียบขาวนั้น จะมีพิธีลงนามข้อตกลงร่วมในฮานอยและการร่วมรับประทานอาหารกลางวันระหว่างทรัมป์กับคิม แต่แทนที่จะเป็นไปตามแผนดังกล่าว ทั้งคู่กลับออกจากสถานที่ประชุมโดยไม่ได้ลงนามข้อตกลงใดๆ และทรัมป์เลื่อนกำหนดการแถลงข่าวเร็วขึ้นสองชั่วโมง
โจ ซิรินโชเน ประธานมูลนิธิเพื่อสันติภาพพลาวแชร์ส ฟันด์ มองว่า นี่เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่และสะท้อนข้อจำกัดในการจัดการประชุมสุดยอดทั้งในแง่ที่เจ้าหน้าที่ไม่มีเวลาเพียงพอในการเตรียมการข้อตกลง
ทรัมป์นั้นต้องนั่งเครื่องบินครึ่งโลกเพื่อไปประชุมกับคิม ขณะที่ผู้นำเปียงยางใช้เวลานั่งรถไฟสองวันครึ่งรวมระยะทาง 4,000 กิโลเมตร
คิมมีกำหนดการจะอยู่ในเวียดนามต่อเพื่อเริ่มต้นการเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมถึงการร่วมพิธีวางพวงมาลาที่สุสานโฮจิมินห์ก่อนออกเดินทางกลับในวันเสาร์ (2)
ตั้งแต่ก่อนหน้าการประชุม ทรัมป์ที่อวดอ้างความสัมพันธ์พิเศษกับคิม โน้มน้าวว่า เกาหลีเหนือจะมีอนาคตสดใสทางเศรษฐกิจหากยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ขณะเดียวกัน ก็พยายามลดความคาดหวังต่อการเจรจาครั้งนี้โดยบอกว่า ไม่รีบร้อนบรรลุข้อตกลงอย่างลวกๆ ตราบที่เปียงยางยังไม่ลุกขึ้นมาทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ หลังจากที่หยุดกิจกรรมนี้มาตั้งแต่ปลายปี 2017
กระนั้น แฮร์รี คาเซียนิส ผู้อำนวยการเกาหลีศึกษาของศูนย์เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ เชื่อว่า การไม่มีข้อตกลงดีกว่าการบรรลุข้อตกลงที่เลวร้าย เช่น ไม่สามารถยุติความท้าทายด้านนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้
หลังซัมมิตปิดฉากลงไม่นาน เกาหลีใต้ออกมาแถลงว่า น่าเสียดายแต่เชื่อว่า มีความคืบหน้าสำคัญเกิดขึ้นจากการเจรจา
เมื่อครั้งการประชุมซัมมิตหนแรกที่สิงคโปร์ ผู้นำสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือได้ร่วมลงนามเอกสารที่มีเนื้อความคลุมเครือ โดยที่คิมรับปากจะดำเนินการเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีอย่างสมบูรณ์ ทว่า นับจากนั้นแทบไม่ปรากฏความคืบหน้าใดๆ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นไม่ลงรอยเกี่ยวกับความหมายของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ โดยทางเปียงยางนั้นต้องการให้ยกเลิกมาตรการแซงก์ชันทั้งหมด แต่วอชิงตันยืนกรานว่า เกาหลีเหนือต้องดำเนินการปลดอาวุธอย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน
เช่นเดียวกับซัมมิตสิงคโปร์ ผู้นำทั้งคู่พูดจาหยอกล้อโชว์ความสนิทสนมกันต่อหน้านักข่าวในฮานอย และยังใช้เวลาช่วงพักเดินพูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ ริมสระน้ำของโรงแรมเมโทรโพล ซึ่งเป็นสถานที่จัดประชุม ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อสองปีก่อนที่สถานการณ์ระหว่างทั้งคู่ตึงเครียดมากจากการระดมทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ โดยทรัมป์เรียกคิมว่า “มนุษย์จรวด” ส่วนประมุขโสมแดงตอบโต้ประธานาธิบดีอเมริกันว่า “เฒ่าจิตเสื่อม”
นอกจากนั้นช่วงเช้าวันพฤหัสบดี คิมยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างชาติแบบไม่มีสคริปต์ว่า ยินดีให้อเมริกาเข้าไปตั้งสำนักงานประสานงานในเปียงยาง ซึ่งจะถือเป็นขั้นตอนสำคัญปูทางสู่การปรับความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติ ทั้งยังบอกว่า เต็มใจปลดอาวุธนิวเคลียร์ ไม่เช่นนั้นคงไม่ไปร่วมประชุมกับทรัมป์
ก่อนการประชุม ยังมีการหารือกันว่า อาจประกาศยุติสงครามเกาหลีปี 1950-1953 อย่างเป็นทางการ และฝ่ายวอชิงตันหวังว่า คิมจะรับปากทำลายเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยอง-บยอน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอาวุธปรมาณูของเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ดี ภายหลังการประชุมที่ฮานอย ไม่ได้มีการแถลงอะไรในเรื่องเหล่านี้