รอยเตอร์ – ผู้นำโสมแดงออกเดินทางพร้อมกลุ่มเจ้าหน้าที่อาวุโสและน้องสาวโดยรถไฟจากเปียงยางเมื่อวันเสาร์ (23 ก.พ.) และกำลังเดินทางข้ามประเทศจีนในวันอาทิตย์ (24 ก.พ.) ปลายทางคือฮานอยเพื่อร่วมประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 กับทรัมป์ จากการรายงานที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักของสื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือ
แม้มีรายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ แต่สื่อทางการเกาหลีเหนือรายงานในวันอาทิตย์ว่า คิม จอง-อึนออกเดินทางจากเปียงยางด้วยรถไฟตั้งแต่บ่ายวันเสาร์เพื่อร่วมประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27-28 นี้ที่กรุงฮานอยของเวียดนาม
ซัมมิตครั้งนี้มีขึ้น 8 เดือนหลังการพบกันครั้งแรกซึ่งถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่สิงคโปร์ ที่ทั้งคู่ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดนิวเคลียร์ ทว่ากลับมีความคืบหน้าน้อยมากนับจากนั้น และครั้งนี้ผู้นำทั้งคู่ถูกคาดหมายว่าจะมุ่งเน้นองค์ประกอบของโครงการนิวเคลียร์ที่เปียงยางอาจเริ่มยกเลิกเพื่อแลกเปลี่ยนกับการผ่อนคลายมาตรการลงโทษของวอชิงตัน
หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุนของทางการเกาหลีเหนือฉบับวันอาทิตย์รายงานข่าวการเดินทางของคิมชนิดที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก รวมทั้งยังมีภาพประกอบขณะประมุขโสมแดงเดินพรมแดงขึ้นรถไฟและโบกมือจากขบวนรถไฟให้ผู้ที่ไปคอยส่ง
การเดินทางครั้งนี้ยังประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ อาทิ คิม ยอง-ชอล อดีตผู้อำนวยการปฏิบัติการสอดแนมและหัวหน้าคณะเจรจาในอเมริกา รวมถึงรี ซู-ยอง ผู้ช่วยอาวุโสของพรรครัฐบาล, รี ยอง-โฮ รัฐมนตรีต่างประเทศ และโน กวาง-ชอล รัฐมนตรีกลาโหม
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือยังรายงานว่า คิม โย-จอง น้องสาวและผู้ช่วยใกล้ชิดของคิมในซัมมิตครั้งแรก เป็นหนึ่งในคณะเดินทางเช่นเคย แต่สำหรับรี ซอล-จู ภรรยาของคิมนั้น ไม่มีการระบุถึงในข่าวแต่อย่างใด
การรายงานข่าวโดยสื่อของทางการเกาหลีเหนือครั้งนี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับในอดีตที่มักมีการรายงานความเคลื่อนไหวอย่างจำกัดระหว่างที่ผู้นำเดินทางเยือนต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่นๆ เช่น คิม ชาง-ซอน หัวหน้าคณะทำงานโดยพฤตินัยของคิม และคิม ฮย็อก-ชอล คู่เจรจากับสตีเฟน บีกัน ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ อยู่ที่ฮานอยแล้วเพื่อจัดเตรียมการประชุม
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ขณะที่การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีมีความคืบหน้าน้อยมาก จึงมีแนวโน้มว่า ทรัมป์และคิมจะพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อผลักดันการหารือในฮานอย แม้จะยึดถือตามนโยบายเดิมเป็นหลักก็ตาม
ผู้นำทั้งคู่กำลังถูกกดดันให้ทำข้อตกลงที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นกว่าข้อตกลงที่สิงคโปร์ ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างมากโดยเฉพาะในอเมริกาว่า ขาดแคลนรายละเอียด
ชิน เบียม-ชุล นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบันอาซันเพื่อการศึกษานโยบายของเกาหลีใต้คาดว่า คิมและทรัมป์จะไม่ทำข้อตกลงที่จะทำให้การไหลลื่นทางการทูตสะดุดลง และทรัมป์เกริ่นไว้แล้วว่า จะมีซัมมิตรอบสาม หากข้อตกลงครั้งนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ
คณะบริหารทรัมป์นั้นต้องการให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งรวมถึงศักยภาพขีปนาวุธและการคุกคามอเมริกา ก่อนที่จะเรียกร้องสิ่งใดๆ
ด้านเปียงยางต้องการให้ผ่อนคลายมาตรการแซงก์ชันของนานาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ รับประกันความปลอดภัย และยุติสงครามเกาหลีปี 1950-1953 อย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน เวียดนามเริ่มประดับตกแต่งถนนหลายสายในกรุงฮานอยด้วยธงชาติเกาหลีเหนือ อเมริกา และเวียดนาม พร้อมสัญลักษณ์ภาพการจับมือ นอกจากนั้นยังมีการรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่อาจเป็นที่ประชุมหรือที่พักของสองผู้นำ
ทั้งนี้ คิมจะใช้เวลาเดินทางถึงเวียดนามอย่างน้อย 2 วันครึ่ง โดยในวันอาทิตย์มีคนเห็นขบวนรถไฟสีเขียวในสถานีกรุงปักกิ่งของจีน แต่ไม่มีการยืนยันว่าเป็นขบวนรถของคิมหรือไม่
สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า ขบวนรถไฟของคิมผ่านสถานีในเมืองเทียนจิน ทางตะวันออกของปักกิ่งเมื่อเวลา 13.00 น. โดยประมาณ (12.00 น. วันอาทิตย์ตามเวลาไทย)
กระทรวงต่างประเทศจีนไม่ได้ให้รายละเอียดการเดินทางของคิม รวมถึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวการเดินทางของผู้นำโสมแดง
ทางด้านเคซีเอ็นเอรายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือที่ไม่ได้ร่วมประชุมที่สิงคโปร์แต่จะเดินทางไปฮานอยกับคิมครั้งนี้คือ คิม พยอง-เฮ และโอ ซู-ยอง รองประธานคณะกรรมการกลางของพรรครัฐบาลที่รับผิดชอบการจัดการส่วนตัวและกิจการอุตสาหกรรมตามลำดับ
โอเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงโลหะและการสร้างเครื่องจักรกล ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้คือเรียนรู้การพัฒนาภาคการผลิตของเวียดนาม โดยคิมอาจเยี่ยมชมโรงงานบางแห่งขณะอยู่ในเวียดนาม
สื่อเวียดนามรายงานว่า เครื่องบินขนส่งลำหนึ่งของเกาหลีเหนือเดินทางถึงเวียดนามเมื่อวันอาทิตย์ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่น่าจะเป็นองครักษ์และพนักงานหน่วยงานสื่อของทางการเปียงยาง ก่อนที่บุคคลเหล่านี้จะเดินทางภายใต้การอารักขาของตำรวจเวียดนามไปยังโรงแรมในตัวเมืองฮานอย