xs
xsm
sm
md
lg

วางเดิมพันลงไปได้เลย! 'ทรัมป์'เตรียมจะโอเคแล้วในการเจรจาการค้ากับจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: วิลเลียม เพเซค

<i>โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอรื ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (กลาง) จับมือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ขณะที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สตีเวน มนูชิน (ซ้าย) ยืนถัดออกมา  ก่อนหน้าการพบปะหารือของพวกเขาที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (15 ก.พ.) </i>
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

Bet on Trump to fold in China trade talks
ByWilliam Pesek
17/02/2019

ขณะที่ สี จิ้นผิง ตระเตรียมจีนให้พร้อมสำหรับตลาดอันมีขอบเขตทั่วทั้งโลกซึ่งแดนมังกรจะต้องเผชิญในปี 2025 ทรัมป์กลับหาทางดึงลากสหรัฐฯให้ย้อนกลับไปสู่ปี 1985

“คนที่บอกว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องที่อย่างไรเสียก็ไม่สามารถทำได้หรอก เขาก็ไม่สมควรขัดขวางคนที่กำลังพยายามกระทำสิ่งนั้นอยู่” คำพังเพยเก่าของจีนบทนี้แวบขึ้นมาในความคิดของผม ขณะที่คณะผู้เจรจาของโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขึ้นสังเวียนต่อสู้แลกหมัดกับทีมงานของ สี จิ้นผิง เพื่อต่อรองจัดทำข้อตกลงการค้าฉบับซึ่งอาจจะมีความสำคัญมากที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว

ประธานาธิบดีทรัมป์นั้นคือคนที่กำลังบอกว่า จีนจะไม่ได้รับอนุญาตให้แซงหน้าเศรษฐกิจของอเมริกา (ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่ https://www.asiatimes.com/2019/02/article/president-xi-is-left-over-an-economic-barrel/) วอชิงตันจะไม่มีวันยินยอมปล่อยมือจากฐานะความเป็นผู้นำในระบบการเงินของโลกเป็นอันขาด – ไม่มีทาง, ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามที

ขณะที่ประธานาธิบดีสีคือคนที่กำลังลงทุนเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในภาคเศรษฐกิจชั้นนำต่างๆ ตั้งแต่รถยนต์ ไปจนถึงการบินและอวกาศ ไปจนถึงเภสัชภัณฑ์ ไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงหุ่นยนต์ ภายในระยะเวลา 6 ปี

ช่างตัดแย้งตรงกันข้ามจริงๆ กับทรัมป์ซึ่งกำลังพยายามจะทำให้ “ถ่านหิน” กลับยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง

ทางเดินแบบแยกจากกัน ชนิด “หันหน้ากันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง” ซึ่งสหรัฐฯกับจีนผู้เป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลกตามลำดับ กำลังแยกย้ายกันมุ่งหน้าไปเช่นนี้เอง คือความนัยซึ่งซ่อนอยู่เบื้องลึกของการประจันหน้ากันระหว่างทรัมป์กับสี

การเจรจาระดับสูงระหว่างสองประเทศในกรุงปักกิ่งยุติลงเมื่อวันศุกร์ (15 ก.พ.) ที่ผ่านมา โดยไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรอย่างชัดเจน (ดูเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ https://www.nytimes.com/2019/02/15/business/us-china-trade.html) ถึงแม้ทรัมป์ออกมากล่าวในวันเสาร์ (16 ก.พ.) ว่า คณะผู้เจรจาของสหรัฐฯได้มาบรรยายสรุปให้เขาฟังที่รีสอร์ตในรัฐฟลอริดาของเขาแล้ว พร้อมกับบรรยายถึงการเจรจาที่ปักกิ่งคราวนี้ว่า “บังเกิดผลเป็นอย่างมาก”

วอชิงตันกับปักกิ่งต่างกำลังจ้องมองไปยังกำหนดเส้นตายวันที่ 1 มีนาคมซึ่งขยับใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ในบรรดาผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้หลายๆ อย่างนั้น สองอย่างที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุด มีดังนี้

อย่างแรก และมีความน่าจะเป็นสูงที่สุดด้วยก็คือ จีนกำลังตกลงยินยอมซื้อสินค้าสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเดินหน้าขั้นตอนต่างๆ ในการเปิดกว้างเศรษฐกิจของตัวเอง ถึงแม้ขั้นตอนเหล่านี้ยังคงมีความกำกวมคลุมเครือ แต่ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทรัมป์ก็สามารถอวดอ้างได้ว่ามีชัยชนะบนเวทีโลก รวมทั้งยังให้เหตุผลแก่ตลาดวอลล์สตรีทที่จะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น

ส่วนเอเชียก็สาเหตุหายใจเฮือกด้วยความโล่งอก ขณะที่ “หมายเลขหนึ่ง กับ หมายเลขสอง” ซึ่งบางคนเห็นว่าน่าจะเรียกว่าเป็น “กลุ่ม 2” (Group of Two) ก้าวถอยออกมาจาก “ภาวะเตรียมพร้อมรับมือสงครามนิวเคลียร์ขั้นที่ 1” (DEFCON 1 ย่อมาจาก defense readiness condition ระบบเตือนภัยที่ใช้โดยกองทัพสหรัฐฯ มีด้วยกันทั้งหมด 5 ขั้น โดยขั้นที่ 1 คือสถานการณ์ร้ายแรงที่สุด ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/DEFCON --ผู้แปล)

อย่างที่สอง –การปฏิบัติต่างๆ ของจีนมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันใหม่อย่างแท้จริง-- ผลลัพธ์เช่นนี้มีความน่าจะเป็นน้อยกว่ามากมาย กระนั้น แค่วิญญาณปีศาจร้ายตามหลอกหลอนของมันเท่านั้น ก็ยังจะสามารถยั่วเย้าหยอกเอินพวกนักลงทุนในช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ข้างหน้านี้ ทั้งนี้ถ้าหากทีมเจรจาของทรัมป์ฉลาด ก็จะยืนกรานเรียกร้องให้ได้ข้อตกลงอย่างที่สองนี่แหละ

แน่นอนทีเดียวว่า ทรัมป์ทำให้สี “หลังชนกำแพง” แล้ว ปักกิ่งนั้นต้องการที่จะได้ข้อตกลง (ดูเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ https://beta.scmp.com/news/china/diplomacy/article/2186228/trade-war-talks-china-and-us-said-be-far-apart-framework?utm_medium=email&utm_source=mailchimp&utm_campaign=enlz-scmp_today&utm_content=20190215&MCUID=3febdfc199&MCCampaignID=6559b59b47&MCAccountID=3775521f5f542047246d9c827&tc=7) แต่กระนั้นในทางเป็นจริงแล้ว สีกลับเป็นฝ่ายที่ยังคงมีพื้นที่สำหรับการขยับขยายเคลื่อนไหวกว้างขวางกว่า และขีดที่จะต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานแล้ว (pain threshold) ก็อยู่สูงกว่าทรัมป์มาก โดยที่สำคัญคงต้องขอบคุณกำหนดเวลาในปฏิทิน

ไม่ใช่หรอกครับ สีไม่ได้รู้สึกสนุกสนานกับพิกัดศุลกากรของทรัมป์ซึ่งเรียกเก็บเพิ่มจากสินค้าของจีนแผ่นดินใหญ่มูลค่าราวๆ 250,000 ล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว ส่วนข้อความอย่างโกรธเกรี้ยวทางทวิตเตอร์, การคุกคามที่จะลดค่าเงินดอลลาร์, การพูดจาโน้มน้าวว่าพวกคนงานจีนนั่นแหละกำลังเป็นตัวการสร้างปัญหาให้แก่เศรษฐกิจของอเมริกาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ของทรัมป์อันที่จริงมันก็แสนจะน่าเบื่อด้วยซ้ำไป

ทว่าสี ซึ่งเป็นผู้นำจีนที่เข้มแข็งที่สุดในรอบระยะเวลาหลายสิบปี ไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับการถูกสอบสวนในเรื่องต่างๆ มากมายเหลือล้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขาไม่ได้กำลังถอยหลังออกมาจากความพ่ายแพ้ปราชัยในการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อเร็วๆ นี้ ทิศทางอนาคตในการผลักดันออกกฎหมายต่างๆ ของสี ไม่ได้ต้องขึ้นอยู่กับความคิดเห็นโดยอำเภอน้ำใจของพรรคฝ่ายค้านที่เพิ่งหวนกลับผงาดขึ้นมาใหม่ หรือความชอบธรรมของสีก็ไม่ได้ผูกติดอยู่กับตลาดหลักทรัพย์ที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่นกระวนกระวาย เหมือนอย่างของทรัมป์ แท้ที่จริงแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่สีจำเป็นต้องทำก็คือ การนำเอาทรัมป์ออกมาจากหลังของเขาให้ได้เท่านั้น

ข้อตกลงที่จะซื้อหาสินค้าสหรัฐฯ อาจจะสัก 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 200,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะฟังดูยิ่งใหญ่มโหฬารแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องอะไรนักหนาหรอก เนื่องจากโอกาสที่จีนจะไปซื้อหาข้าวของถูกอกถูกใจจากที่อื่นๆ ในปริมาณใกล้เคียงกับสินค้าเมดอินยูเอสเอจำนวนขนาดนี้ มีอยู่น้อยนิดเอามากๆ อยู่แล้ว (ดูเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่ https://beta.scmp.com/news/china/diplomacy/article/2186228/trade-war-talks-china-and-us-said-be-far-apart-framework?utm_medium=email&utm_source=mailchimp&utm_campaign=enlz-scmp_today&utm_content=20190215&MCUID=3febdfc199&MCCampaignID=6559b59b47&MCAccountID=3775521f5f542047246d9c827&tc=7) พิจารณาจากทัศนะมุมมองของสีแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดก็คือทรัมป์เมื่อยินดีพอใจแล้ว จะได้หันเหความกริ้วโกรธของเขาไปยังที่อื่นๆ

เอเชียเพียงแต่วาดหวังเอาไว้ว่าที่อื่นๆ นั่นไม่ได้หมายความถึงโตเกียวหรือโซล อย่าลืมว่าทรัมป์นั้นกำลังตบหลังตบไหล่นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ให้เดินหน้าเจรจากันเพื่อทำข้อตกลงการค้าทวิภาคี

ถึงกระนั้น เมื่อกล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว ข้อตกลงสงบศึกระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งย่อมจะเพิ่มลู่ทางโอกาสอันสดใสยิ่งขึ้น ให้แก่การเติบโตขยายตัวของเอเชียและตลาดต่างๆ ในเอเชีย รวมทั้งยังจะทำให้พวกผู้วางนโยบายทั้งหลายมีเวลาหายใจหายคอเพื่อยกระดับเศรษฐกิจภายในประเทศของพวกเขากันต่อไป

อย่างไรก็ดี ฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์เช่นนี้ สร้างความกังวลใจให้แก่พวกนักลงทุนอย่าง เจ. ไคล์ แบสส์ (J. Kyle Bass) แห่ง เฮย์แมน แคปิตอล เมเนจเมนต์ (Capital Management) “มีการคาดเดากะเก็งกันว่า ทรัมป์เพิ่งบอกกับคณะผู้เจรจาของเขาไป ให้ “ทำข้อตกลงให้เสร็จได้แล้ว” เพื่อที่จะได้ยุติความปั่นป่วนผันผวนของตลาดในระยะหลังๆ มานี้ลงไป แบสส์เขียนเอาไว้เช่นนี้ในบทความชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่ทางสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) โดยเขาเขียนร่วมกับ แดเนียล บาบิช (Daniel Babich) (ดูเพิ่มเติมบทความชิ้นนี้ได้ที่ https://www.bloomberg.com/opinion/articles/2019-02-11/trump-can-t-waste-china-trade-talks)

“แต่นี่ย่อมหมายความถึงการหมดสิ้นไปของโอกาสแห่งประวัติศาสตร์ ที่จะมาปรับโครงสร้างกันครั้งใหญ่ในความสัมพันธ์ที่อเมริกามีอยู่กับจีน ในจังหวะเวลาที่จีนมีความโน้มเอียงสูงที่สุดที่จะตกลงยินยอมอ่อนข้อ เราเดินทางกันมาไกลเกินกว่าที่ทรัมป์จะหันเหหาทางออกเอาอย่างง่ายๆ เช่นนี้”

เคล็ดลับอยู่ตรงที่การเรียกร้องให้ปักกิ่งต้องรื้อถอนทำลาย “นโยบายทางอุตสาหกรรมซึ่งเปิดทางให้พวกเขามีความได้เปรียบอย่างเป็นพิเศษขึ้นมา อันได้แก่ การที่รัฐบาลให้การอุดหนุนต่างๆ อย่างกว้างขวาง, การคอยปกป้องคุ้มครองตลาดภายในประเทศ, และการให้สิทธิพิเศษทางด้านระเบียบกฎหมาย แก่พวกแชมเปี้ยนแห่งชาติซึ่งเป็นกิจการที่อยู่ในเครือของรัฐบาลจีน”

ขณะที่เรื่องซึ่งต้องถือว่ามีลำดับความสำคัญเร่งด่วนนั้น แบสส์ กับ บาบิช บอกว่า คือ “การยุตินโยบายที่จีนกระทำมายาวนานแล้วในเรื่องการจารกรรมทางเศรษฐกิจและการโจรกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งแต่ละปีทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาเสียหายไปอย่างน้อยที่สุด 300,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามการประมาณการของรัฐบาลสหรัฐฯ”

แน่นอนล่ะ นี่คือเหตุผลที่ทำไมชาวพรรคเดโมแครตจำนวนมากในวอชิงตันจึงให้การยอมรับอย่างอ้อมๆ แก่พฤติการณ์เล่นแผลงๆ ในทางการค้าเช่นนี้ของทรัมป์ ตลอดระยะเวลา 18 ปีนับตั้งแต่ที่ปักกิ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์การการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) ผู้นำสหรัฐฯคนแล้วคนเล่าต่างวาดหวังว่าจีนจะเริ่มต้นปฎิบัติตนเหมือนกับเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนหนึ่งในกิจการโลก ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายหนึ่งเท่านั้น

ทรัมป์กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จเสียเอง ในการกระทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งคนอื่นๆ บอกว่าอย่างไรเสียก็ไม่สามารถทำได้หรอก แต่ถึงกระนั้น หากมองกันแบบการพนันแล้ว แต้มต่อทางข้างที่ทรัมป์จะหันกลับมารั้งแข้งรั้งขาตัวเองเอาไว้นั้น มีสูงกว่าข้างที่เขาจะเดินหน้าต่อไป

พวกชาวพรรครีพับลิกันของทรัปม์กำลังรบเร้าให้เขายืนหยัดอย่างเหนียวแน่นมั่นคง กรณีตัวอย่างที่เห็นกันได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ มาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันจากรัฐฟลอริดา ผู้ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เสนอร่างกฎหมายที่จะตัดทอนและเก็บภาษีเงินลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสู้รบปรบมือกับแผนการ “เมด อิน ไชน่า 2025” (Made in China 2025) ของสี จิ้นผิง

“นโยบายของสหรัฐฯ” วุฒิสมาชิกผู้นี้กล่าว “ควรที่จะตอบโต้ต่อความท้าทายต่างๆ ในทางปฏิบัติและในทางเศรษฐกิจการเมือง เรื่องนี้ครอบคลุมรวมไปถึงการออกกฎหมายจำกัดการไหลเวียนของเงินทุนสหรัฐฯ-จีนในทางยุทธศาสตร์ และมาตรการเชิงป้องกันต่างๆ ที่ติดตามมาสำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศทั้งหลายซึ่งตกเป็นเป้าหมายของแผนการนั้น (เมด อิน ไชน่า 2025)”

มันก็ฟังดูมีเหตุมีผลอยู่หรอก แต่นี่ยังคงละเลยไมได้แตะต้องปัญหาที่ว่า ทำไมอเมริกาจึงกำลังย่ำเท้าอยู่กับที่ ในขณะที่จีนกำลังยกระดับเกมของตัวเองให้สูงขึ้น ตลาดจีนที่เปิดกว้างขึ้นมาแล้วจะไม่ช่วยซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานซึ่งกำลังซวนเซของอเมริกา ไม่ได้ทำให้คนงานในอเมริกามีนวัตกรรมหรือมีผลิตภาพสูงขึ้น ตลอดจนไม่ทำให้ราคาค่าใช้จ่ายทางด้านการดูแลรักษาสุขภาพมีเสถียรภาพหรอก มันจะไม่ช่วยเหลือการปรับปรุงยกระดับระบบการศึกษาของเมริกา ไม่กระตุ้นจูงใจพวกผู้บรหารให้เพิ่มค่าจ้าง หรือทำให้ภาคบริษัทของอเมริกามีการประดิษฐ์คิดสร้างกันมากขึ้น รวมทั้งข้อตกลงการค้าก็จะไม่ได้เป็นการตระเตรียมกำลังแรงงานของอเมริกาให้พรักพร้อมสำหรับรับมือการบุกหน้ารุกคืบเข้ามาของระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งกำลังรื้อสร้างตลาดงานขึ้นมาใหม่หมด

ปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงที่ว่า ขณะที่ สี ตระเตรียมจีนสำหรับตลาดอันมีขอบเขตทั่วทั้งโลกซึ่งแดนมังกรจะต้องเผชิญในปี 2025 ทรัมป์กลับหาทางดึงลากสหรัฐฯให้ย้อนกลับไปสู่ปี 1985 นั่นเป็นช่วงเวลาที่อะไรๆ มันเรียบง่ายกว่า กลับไปสู่วันเวลาที่ทำเนียบขาว, ธนาคารกลางสหรัฐฯ, และภาคบริษัทของอเมริกา ควบคุมเศรษฐกิจโลกเอาไว้ได้ และเก็บเกี่ยวส่วนแบ่งก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งจัดสรรเอาไว้ให้แก่ผู้ที่สามารถปล้นชิงคนอื่นมาได้

ทรัมป์ไม่ได้ผิดหรอกที่เรียกร้องให้จีนทำการค้าอย่างเป็นธรรมและอย่างโปร่งใส แต่มาตรการแข่งขันตอบโต้ขึ้นภาษีศุลกากรของเขาจักต้องสมทบขนาบข้างด้วยการยกระดับอย่างขนานใหญ่ภายในบ้าน เพื่อทำให้สหรัฐฯเกิดความเข้าอกเข้าใจและเตรียมพร้อมอีกคำรบหนึ่งสำหรับพิภพที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ข้างที่มีแต้มต่อสูงกว่าก็คือ ทรัมป์จะคว้าเอาข้อตกลงอย่างแรก จากนั้นก็หันไปสนใจทางอื่น เวลาเดียวกันนั้น สีก็จะเดินหน้ากระทำสิ่งที่ทรัมป์บอกว่าจีนไม่สามารถกระทำได้


กำลังโหลดความคิดเห็น