เอเจนซีส์ - วุฒิสมาชิกระดับแกนนำของรีพับลิกันลั่นจะสืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุดว่า รัฐมนตรีช่วยยุติธรรมเคยถกเถียงหาทางใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถอดถอนทรัมป์ ตามที่อดีตรักษาการผู้อำนวยการเอฟบีไอแฉออกทีวีจริงหรือไม่
ลินด์ซีย์ เกรแฮม ประธานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมของวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า การใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 เท่ากับเป็นการพยายามโค่นล้มคณะบริหาร และเขาคิดว่า ชาวอเมริกันทุกคนต้องการรู้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการสืบสาวพฤติกรรมของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ นอกจากนั้น เกรแฮมยังประกาศจะเปิดการไต่สวนให้รู้ดำรู้แดงว่า ใครกันแน่ที่พูดความจริง
คำประกาศของเกรแฮมมีขึ้นหลังจากรายการซิกตี้ มินนิตส์ออกอากาศบทสัมภาษณ์แอนดริว แมคเคบ อดีตรักษาการผู้อำนวยการเอฟบีไอ ทางเครือข่ายซีบีเอสในอเมริกาเมื่อวันอาทิตย์ (17)
ในรายการดังกล่าว แมคเคบระบุว่า ร็อด โรเซนสไตน์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงยุติธรรม หารือกับตนว่า จะต้องมีเสียงสนับสนุนเท่าไรเพื่อใช้กลไกบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 ที่ปูทางสู่การถอดถอนประธานาธิบดีที่ไม่คู่ควรกับตำแหน่ง
ทั้งนี้การใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากสมาชิกคณะรัฐมนตรี 8 จาก 15 คน, รองประธานาธิบดี และสมาชิกรัฐสภา 2 ใน 3
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เป็นเจ้าแรกที่รายงานเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ออกนาม แต่คำสัมภาษณ์ของแมคเคบถือเป็นการเปิดเผยครั้งแรกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งแมคเคบบอกว่า เกิดขึ้นในเดือน 2017 หลังจากทรัมป์ปลดเจมส์ โคมีย์ ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอ โดยโรเซนสไตน์ถกเถียงกับตนว่า จะมีสมาชิกคณะรัฐมนตรีกี่คนที่อาจให้การสนับสนุนการถอดถอนทรัมป์
“รัฐมนตรีช่วยยุติธรรมกังวลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับประธานาธิบดี รวมถึงความสามารถและเจตจำนงของประธานาธิบดีในขณะนั้น”
แมคเคบเสริมว่า โรเซนเบิร์กยังแสดงความ “จริงจังอย่างยิ่ง” เมื่อถกเถียงเรื่องการแอบบันทึกเสียงทรัมป์เนื่องจากกังวลว่า ประมุขทำเนียบขาวผู้นี้อาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับการสอบสวนหาความเป็นไปได้ที่ทีมหาเสียงของทรัมป์อาจสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียในการแทรกแซงการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อปี 2016
“เราคุยกันว่า ทำไมประธานาธิบดีถึงยืนกรานที่จะปลดโคมีย์ เขาคิดเรื่องการสอบสวนคดีรัสเซียหรือไม่ และระหว่างนี้เองที่รัฐมนตรีช่วยยุติธรรมเสนอติดเครื่องดักฟังเข้าไปในทำเนียบขาว”
อย่างไรก็ตาม โรเซนเบิร์กเคยปฏิเสธเสียงแข็งตั้งแต่ที่นิวยอร์กไทมส์รายงานครั้งแรกว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่มีเหตุผลที่จะใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25
แมคเคบยังให้สัมภาษณ์ว่า ทรัมป์เคยพูดว่า ได้รับการยืนยันจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียว่า เกาหลีเหนือไม่มีศักยภาพในการโจมตีอเมริกาด้วยขีปนาวุธ และเมื่อเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐฯ ประเมินสถานะของโสมแดงในทางตรงข้าม ทรัมป์จึงไม่ใยดีและบอกว่า “ผมเชื่อปูติน”
แมคเคบระบุว่า เอฟบีไอมีเหตุผลสมควรในการสอบสวนความเชื่อมโยงของประธานาธิบดีกับรัสเซียโดยอิงกับการกระทำของทรัมป์เอง เช่น ตอนที่ทรัมป์บอกผู้สื่อข่าวและนักการทูตรัสเซียว่า การสอบสวนคดีรัสเซียเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ปลดโคมีย์
“คำพูดดังกล่าวบ่งชี้ว่า ประธานาธิบดีอาจก่อคดีอาญาแล้ว
“ถ้าประธานาธิบดีขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ปลดผู้อำนวยการเอฟบีไอเพื่อบ่อนทำลายหรือยุติการสอบสวนการกระทำอันประสงค์ร้ายของรัสเซีย ซึ่งเป็นไปได้ว่า เพื่อสนับสนุนการหาเสียงของตนเอง คุณคงต้องถามตัวเองว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำแบบนั้นทำไม”
แมคเคบเสริมว่า เขากังวลมากเกี่ยวกับคดีรัสเซีย และอยากแน่ใจว่า ถ้าตัวเขาถูกปลดกะทันหัน ได้รับแต่งตั้งไปอยู่ตำแหน่งอื่น หรือถูกไล่ออก คดีนี้จะไม่ยุติหรือหายไปไร้ร่องรอยชั่วข้ามคืน
อย่างไรก็ดี ทางด้านกระทรวงยุติธรรมได้ออกมาแถลงตอลโต้ว่า คำพูดเหล่านี้ของแมคเคบไม่เป็นความจริง และย้ำว่า โรเซนสไตน์ไม่เคยแอบบันทึกเสียงทรัมป์ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพิจารณาใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25
อนึ่ง เดือนที่ผ่านมา สื่ออเมริกันรายงานว่า โรเซนสไตน์วางแผนลาออก แต่ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน
สำหรับทำเนียบขาวก็ออกมาโจมตีว่า แมคเคบที่ถูกปลดจากเอฟบีไอ โทษฐานกล่าวเท็จและเปิดการสอบสวนประธานาธิบดีโดยไม่มีเหตุผลนั้น เป็นบุคคลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ แมคเคบที่รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอในปี 2017 ถูกปลดจากตำแหน่งรองผู้อำนวยการเอฟบีไอในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หรือสองวันก่อนครบกำหนดเกษียณ
ผู้ที่สั่งปลดแมคเคบคือ เจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรียุติธรรม โดยให้เหตุผลว่า การสอบสวนภายในพบว่า แมคเคบเผยแพร่ข้อมูลสำคัญให้สื่อรับรู้และทำให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเข้าใจผิด
ทว่า แมคเคบปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้นและยืนยันว่า ตนตกเป็นเป้าหมายเพราะมีส่วนร่วมในการสอบสวนคดีรัสเซีย