xs
xsm
sm
md
lg

ไม่สนวิกฤตรธน.!!ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินตามแนวชายแดนสหรัฐฯ ดึงงบสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ อ้างการรุกรานของพวกค้ายาเสพติดและอาชญากร ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติตามแนวชายแดนอเมริกา-เม็กซิโกในวันศุกร์(15ก.พ.) เพื่อดึงงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนตามที่เขาต้องการมานาน ความเคลื่อนไหวที่ถูกประณามจากสมาชิกเดโมแครตว่าเป็นการรวบอำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรการพิเศษของทรัมป์จะช่วยให้เขาสามารถหลบเลี่ยงเสียงคัดค้านในสภาคองเกรส และเปลี่ยนแนวทางหางบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับเป็นทุนสร้างกำแพง ตามคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง

"เรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตด้านความมั่นคงแห่งชาติตามแนวชายแดนทางใต้ของเรา ผมกำลังจะลงนามในประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ" ผู้นำสหรัฐฯบอกกับพวกผู้สื่อข่าวในบริเวณสวนกุหลาบในทำเนียบขาว "ผมกำลังจะลงนามในประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ เรากำลังพูดถึงการรุกรานประเทศของเรา โดยพวกลักลอบขนยาเสพติด, ค้ามนุษย์, พวกอาชญากรทุกรูปแบบ และแก๊งต่างๆ"

ทรัมป์ ตัดสินใจเลือกใช้อำนาจฉุกเฉิน หลังเผชิญทางตันกับสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ขัดขวางโครงการสร้างกำแพงของเขา ข้อพิพาทซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนเป็นเวลากว่า 35 วัน ขณะที่การใช้อำนาจฉุกเฉินของทรัมป์ ได้กระพือความกังวลในบรรดาสมาชิกสภาคองเกรส ในนั้นรวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกันของเขาเอง ซึ่งเตือนว่ามันอาจก่อบรรทัดฐานที่อันตรายตามมา

อย่างไรก็ตาม แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฏรและ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐฯ จากพรรคเดโมเครต ประณามในทันทีต่อการ "รวบอำนาจ" โดยประธานาธิบดี โดยระบุว่าความเคลื่อนไหวของทรัมป์ เป็นการกระทำการนอกเหนือขอบเขตของกฎหมาย ในการหางบประมาณสำหรับสร้าวกแพงตามที่เขาเคยรณรงค์หาเสียงไว้เมื่อปี 2016

ท่ามกลางความคาดหมายว่าทรัมป์จะต้องเผชิญการคัดค้านทางกฎหมายเป็นชุดๆ เลติเตีย เจมส์ อัยการทั่วไปแห่งรัฐนิวยอร์ก แถลงเป็นรายแรกว่าจะยื่นคัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติของทรัมป์ ด้วยเตือนว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติโดยปราศจากเหตุผลทางกฎหมายจะก่อวิกฤตรัฐธรรมนูญ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ คาดหมายไว้แล้วว่าการตัดสินใจของเขาจะก่อการยื่นคัดค้านต่อศาล แต่ก็แสดงความเชื่อมั่นว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ "แน่นอน ผมคาดว่าคงถูกฟ้อง แต่ผมคิดว่า เราจะชนะ"

คำประกาศของทรัมป์ มีขึ้นหลังจาก ร่างข้อตกลงงรปมาณด้านความมั่นคงทางชายแดน ซึ่งเป็นข้อตกลงประนีประนอมระหว่างรีพับลิกันของทรัมป์กับเดโมแครต ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส หลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน แต่มันปราศจากเงินทุนสำหรับสร้างกำแพงชายแดนตามความต้องการของทรัมป์

ข้อตกลงดังกล่าว จะมอบงบประมาณเพียง 1,400 ล้านดอลลาร์เท่านั้นสำหรับสร้างรั้วตามแนวชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ แต่ไม่ใช่กำแพงคอนกรีตที่ประธานาธิบดีต้องการ และน้อยกว่าระดับ 5,700 ล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์หวังอย่างมาก

ภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ประธานาธิบดีสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ แต่ต้องให้เหตุผลอย่างเฉพาะเจาะจง

ปกติแล้ว การประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติจะมีขึ้นขณะประเทศชาติเผชิญวิกฤติร้ายแรง เพื่อให้ประธานาธิบดีสามารถเข้าถึง "อำนาจพิเศษ" ที่บรรจุอยู่ในกฎหมายอื่นๆกว่า 100 ฉบับ เพื่อ ให้มีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องรออนุมัติจากสภาคองเกรสซึ่งไม่มีเวลาพิจารณาเพียงพอ ในนั้นรวมถึงประกาศกฎอัยการศึก, ระงับเสรีภาพของพลเมือง, ขยายกองทัพ, ยึดทรัพย์สิน, จำกัดการค้า คมนาคมและการทำธุรกรรมทางการเงิน

ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายชี้ว่าการสร้างกำแพงยังไม่จำเป็นเร่งด่วนถึงขั้นต้องใช้ภาวะฉุกเฉิน แต่ถ้าทรัมป์ทำจริง มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจใช้กฎหมายบางมาตราที่เปิดช่องไว้ รวมทั้ง “โยก” งบประมาณจากโครงการของ “กองทัพ” ที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสแล้วมาเป็นงบสร้างกำแพงแทน เช่นงบของ “หน่วยวิศวกรกองทัพ” ซึ่งถูกตั้งไว้เพื่อป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ แต่ทรัมป์ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการสร้างกำแพงคือโครงการก่อสร้างด้านการทหาร

ประธานาธิบดีหลายคนก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับทัมป์ ก็เคยใช้อำนาจฉุกเฉินในประเด็นต่างๆ แต่โนวแน้มที่ ทรัมป์ กำลังใช้อำนาจในการรุกเข้าไปยังบัญชีของรัฐบาลเพื่อหาเงินสำหรับสร้างกำแพง ได้ก่อความกังวลอย่างยิ่งในสภาคองเกรส

มาตรา 1 แห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ได้มอบอำนาจนิติบัญญัติทั้งปวงของรัฐบาลกลางแก่รัฐสภา หรือสภาคองเกรส สำหรับการตัดสินใจใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม ในเรื่องนี้ทำให้สมาชิกสภาหลายคนยังไม่แน่ใจว่า ทรัมป์ จะดึงเงินมาจากส่วนไหน

พรรคเดโมแครตแสดงความกังวลว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทรัมป์ จะเป็นการเปิดทางให้ประธานาธิบดีคนต่อๆไปในอนาคต ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปหมดทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่ความรุนแรงจากอาวุธปืนไปจนถึงภาวะโลกร้อน
กำลังโหลดความคิดเห็น