อดีตผู้นำที่ถูกโค่นลงจากอำนาจของมาเลเซีย นาจิบ ราซัค จะถูกนำตัวขึ้นศาลสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาความผิดในคดีสุดฉาวโฉ่ทางการเงิน ซึ่งมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่การล้มครืนของแนวร่วมทางการเมืองที่ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานของเขา รวมทั้งยังส่งผลสะท้านสะเทือนต่อเนื่องไปรอบโลกอีกด้วย
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้พร้อมกับลูกน้องบริวารของเขา ถูกกล่าวหาว่ากระทำการโจรกรรมเงินจำนวน 4,500 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) ของมาเลเซีย ที่มีชื่อว่า 1Malaysia Development Berhad หรือ 1 MDB ในแผนการฉ้อฉลทุจริตที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกรรมในหลายๆ ประเทศตั้งแต่สวิตเซอร์แลนด์ไปจนถึงเซแชลส์
เงินทองมหาศาลก้อนนี้ถูกระบุว่า ได้มีการนำไปใช้จ่ายเพื่อช็อปปิ้งกันอย่างสนุกสนานในระดับโลก -- เรือสำราญส่วนตัวระดับซูเปอร์เรือยอชต์มูลค่าลำละ 250 ล้านดอลลาร์, อสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์, รวมทั้งภาพเขียนฝีมือของโมเนต์ และ แวนโก๊ะ เหล่านี้คือส่วนหนึ่งในรายการข้าวของซึ่งกล่าวหากันว่าซื้อหามาด้วยเงินทองที่ยักยอกจากคลังแผ่นดิน
คดีอื้อฉาวนี้เกี่ยวข้องพัวพันกับเซเลบระดับโลก โดยผู้ต้องสงสัยเป็นตัวการใหญ่ของการฉ้อโกงคราวนี้ ถูกพบเห็นว่าอยู่ในงานปาร์ตี้กระทบไหล่กับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ ปารีส ฮิลตัน ขณะเดียวกันรัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบันก็กล่าวหาบริษัทยักษ์ทรงอิทธิพลในวอลล์สตรีทอย่าง โกลด์แมน แซคส์ ว่ายักยอกเงินทองไปเป็นพันๆ ล้าน ระหว่างที่ทำงานให้กับกองทุน 1 เอ็มดีบี
การที่สาธารณชนบังเกิดความรังเกียจขยะแขยงกับข้อกล่าวหาฉ้อโกงนี้แหละ มีบทบาทสำคัญที่นำไปสู่ความปราชัยในการเลือกตั้งของนาจิบ – ที่เป็นผู้ก่อตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา และของแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional หรือ BN) ซึ่งเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลผสมปกครองมาเลเซียอย่างไม่เคยขาดตอน นับแต่ที่ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1957
เพียงไม่นานนักหลังจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปของเขาและของแนวร่วมบีเอ็นในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 65 ปีผู้นี้ก็ถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหารวม 42 กระทงที่โยงใยกับกรณีอื้อฉาวนี้ ถึงแม้เขายังคงปฏิเสธอย่างเดือดดาลว่าไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่เพียงแค่ไม่ยอมเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบๆ เท่านั้น อดีตผู้นำจากตระกูลชนชั้นสูงผู้นี้ยังพยายามต่อสู้ด้วยการโหมทำศึกป่าวร้องตีข่าวเพื่อช่วงชิงความเห็นอกเห็นใจของสาธารณชน โดยมุ่งเสนอภาพตนเองว่าเป็นคนของประชาชน และคอยเยาะเย้ยเสียดสีรัฐบาลชุดใหม่อย่างไม่ลดละเว้นว่าง
สำหรับการพิจารณาคดีของศาลในสัปดาห์นี้ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันอังคาร (12) มีศูนย์กลางอยู่ที่บรรดาข้อกล่าวหาเกี่ยวกับเงินทองจำนวน 42 ล้านริงกิต (ราว 10.3 ล้านดอลลาร์) ที่ถูกโอนจากบริษัทเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล อดีตกิจการหนึ่งในเครือของ 1 เอ็มดีบี เข้าไปยังบัญชีธนาคารส่วนตัวของนาจิบ
คดีนี้พัวพันโยงใยอยู่กับกรณีการฟอกเงินรวม 3 กระทงด้วยกัน แล้วก็พัวพันโยงใยกับกรณีการทำผิดหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย 3 กระทง (การทำผิดหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย หรือ breach of trust คือการที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งพวกเขาได้รับมอบหมายไปในทางทุจริต ถือเป็นความผิดทางอาญาอย่างหนึ่ง) ตลอดจนกรณีการใช้อำนาจโดยมิชอบอีกกระทงหนึ่ง นาจิบให้การปฏิเสธว่าไม่มีความผิดใดๆ ตามข้อหาเหล่านี้เลย
ข้อหาอื่นๆ ยังจะตามมาอีก
นี่เป็นเพียงหนึ่งในการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวนมาก ซึ่งคาดหมายกันว่านาจิบจะต้องเผชิญจากเรื่อง 1 เอ็มดีบี และพัวพันกับเงินแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของทั้งหมดซึ่งกล่าวกันว่าขโมยมาจากกองทุนแห่งนี้ โดยที่มีจำนวน 681 ล้านดอลลาร์ทีเดียวซึ่งระบุกันว่าไปลงเอยที่บัญชีส่วนตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้
อย่างไรก็ดี การที่ศาลเริ่มต้นการไต่สวนพิจารณาในคดีแรกคราวนี้ ยังควรที่จะถือเป็นช่วงจังหวะเวลาอันสำคัญ และน่าจะลดทอนแรงกดดันซึ่งมีต่อรัฐบาลใหม่ ภายหลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่าดำเนินการอย่างเชื่องช้ามากในกรณี 1 เอ็มดีบี
“มันเป็นจังหวะเวลาที่สำคัญ ถึงแม้จะเป็นการลงมือที่ล่าช้าไปมากก็ตามที” นี่เป็นคำกล่าวของ ซินเธีย เกเบรียล ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการสอบสวนกรณีฉาวโฉ่นี้
“เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดสำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะต้องเข้ารับมือและคลี่คลายกรณีอื้อฉาวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต” เกเบรียลกล่าวต่อ เธอผู้นี้เป็นประธานของกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งใช้ชื่อว่า “ศูนย์กลางต่อสู้การคอร์รัปชั่นและการเล่นพรรคเล่นพวก” (Center to Combat Corruption and Cronyism)
ด้านนาจิบและทีมทนายแก้ต่างของเขานั้น พยายามป่าวร้องวาดภาพคดีความที่เล่นงานเขาว่า คือการแก้แค้นของคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยนายกรัฐมนตรีวัย 93 ปี มหาเธร์ โมฮาหมัด บุรุษผู้ที่เคยเป็นพี่เลี้ยงทางการเมืองของนาจิบ ก่อนที่จะพลิกผันกลายเป็นศัตรูผู้ตามจองล้างจองผลาญของเขา
มูฮัมหมัด ชาฟี อับดุลเลาะห์ หัวหน้าทีมทนายความของนาจิบ ประทับตราการพิจารณาคดีที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นคราวนี้ว่า “เป็นเรื่องการเมือง”
“ถ้าคุณยินยอมให้ผมได้ผู้พิพากษาที่ตรงไปตรงมา, ระบบยุติธรรมที่ตรงไปตรงมา, และพวกพยานถูกปล่อยให้เป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีการชี้นำแล้ว ผมก็จะชนะคดีนี้แน่ๆ” เขาบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี
ระยะเวลาในการพิจารณาคดีนี้ของศาล ถูกวางเอาไว้จนกระทั่งถึงสิ้นเดือนมีนาคม และคาดหมายกันว่าฝ่ายอัยการจะเรียกพยานขึ้นให้การจำนวนหลายสิบปาก
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังๆ มานี้ นาจิบได้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสื่อสังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่กำลังมีจำนวนผู้คอยติดตามเขาทางออนไลน์กลุ่มใหญ่ จากการที่เขาวิพากษ์โจมตีนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ และโพสต์ภาพชุดการเดินทางไปเยี่ยมเยียนสถานที่ต่างๆ ซึ่งเขาได้พูดคุยกับประชาชนเกี่ยวกับประดาปัญหาทางเศรษฐกิจ
ฉากที่ดูตื่นตาตื่นใจมากที่สุด เห็นจะได้แก่การโพสต์คลิปวิดีโอซึ่งตัวเขาเองกำลังครวญเพลงเวอร์ชั่นภาษามาเลย์ของเพลงฮิต “คิส แอนด์ เซย์ กู๊ดบาย” (Kiss and Say Goodbye) ยุคทศวรรษ 1970 พรั่งพร้อมด้วยทีมนักร้องแบคอัป โดยที่ในคลิปนี้เขาไม่ลืมกล่าวหารัฐบาลชุดใหม่ว่ากำลังมี “วาระแห่งการแก้แค้นและการให้ร้ายป้ายสี”
นี่ต้องถือว่าเป็นการเลี้ยวกลับแบบ 180 องศาที่น่าจับตามองทีเดียว สำหรับบุคคลผู้ซึ่งมักถูกมองกันเป็นประจำว่าเป็นผู้ที่เหินห่างไม่สามารถสัมผัสชีวิตของสามัญชนคนธรรมดาชาวมาเลเซียได้ ในระหว่างช่วงเวลา 9 ปีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเขา
อย่างไรก็ตาม บริดเจต เวลช์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาเลเซียที่ มหาวิทยาลัยจอห์น คาบอต (John Cabot University) ให้ความเห็นว่า “ภาพลักษณ์ใหม่นี้ ... เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเมื่อตอนที่เขาดำรงตำแหน่งอยู่”
“ดิฉันเชื่อว่าการพิจารณาคดีคราวนี้จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้แก่ฐานะของนาจับ”
(เก็บความจากเรื่อง Malaysia's toppled leader to go on trial over 1MDB scandal ของสำนักข่าวเอเอฟพี)