ฝ่ายค้านเวเนฯ นัดชุมนุมทั่วประเทศหนุน “ฮวน กวยโด” จี้มาดูโรออก

รอยเตอร์ – ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านของเวเนซูเอลาจะจัดการชุมนุมทั่วประเทศในวันนี้ (2) เพื่อแสดงการสนับสนุน ฮวน กวยโด ผู้สถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดีและเพื่อประท้วงขับไล่ นิโคลัส มาดูโร ผู้นำสังคมนิยมที่ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อรักษาแรงกดดัน หลังจากวอชิงตันยอมรับกวยโดเป็นประธานาธิบดีและออกมาตรการคว่ำบาตรที่จะทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศโอเปกแห่งนี้อ่อนแอลงไปอีก

กลุ่มผู้ต่อต้านมาดูโรยังหวังที่จะกระตุ้นให้เกิดความเคลื่อนไหวเดียวนี้จากกลุ่มประเทศยุโรปด้วย สมาชิกสหภาพยุโรปบางรายคาดว่าจะยอมรับกวยโดอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ ในขณะที่สมาชิกรายอื่นๆ น่าจะรักษาจุดยืนสนับสนุนอย่างระมัดระวังมาก

“เราจะกันบนถนนในวันพรุ่งนี้ เวเนซูเอลา” กวยโด กล่าวในคลิปวีดิโอบนทวิตเตอร์ “เรากำลังไปได้สวย พวกเราทำได้ดีจริงๆ”

ในวันนี้ (2) มาดูโรก็จะจัดการชุมนุมเพื่อรำลึกวันครอบรอบ 20 ปีการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 1999 ของ ฮูโก ชาเวซ อดีตผู้นำสังคมนิยมผู้ล่วงลับ

วอชิงตันบังคับใช้การคว่ำบาตรครอบคลุมต่อรัฐวิสาหกิจน้ำมัน PDVSA ในการโจมตีทางการเงินครั้งหนักหน่วงที่สุดต่อมาดูโร ในขณะที่คณะบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์พยายามกดดันเขาออกจากอำนาจอย่างเปิดเผย

เมื่อวันศุกร์ (1) รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ บอกในการชุมนุมที่ฟลอริดาว่า หมดเวลาเจรจาแล้วและทุกตัวเลือกล้วนอยู่ในการพิจารณา

เวเนซูเอลากำลังประสบปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ภาวะขาดแคลนสินค้า และการอพยพของพลเมืองสู่เพื่อนบ้านในลาตินอเมริกา สถานการณ์ที่น่าจะเลวร้ายมากขึ้นในระยะสั้นจากการคว่ำบาตรชุดล่าสุด

กวยโดสาบานตนเป็นรักษาการณ์ประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 23 มกราคมในการท้าทายการปกครองของมาดูโรโดยตรงและได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศในภูมิภาค แต่ยังไม่มีอำนาจควบคุมสถาบันรัฐหรือหน้าที่บริหารงานรายวัน

เขาส่งจดหมายถึงรัสเซียและจีน เจ้าหน้าที่และพันธมิตรรายใหญ่ของรัฐบาลมาดูโร โดยระบุว่า การเปลี่ยนรัฐบาลจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศมากที่สุด

ฝ่ายตรงข้ามมาดูโร กล่าว่า เขาไม่สนใจสถาบันประชาธิปไตยต่างๆ รวมถึงรัฐสภาที่ฝ่ายค้านกุมอำนาจ และทำลายเศรษฐกิจที่เคยสดใสผ่านระบบควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนและการแปรรูปกิจการเอกชนไปเป็นของรัฐตามอำเภอใจ

อดีตผู้นำสหภาพแรงงานรายนี้เรียกการคว่ำบาตรและความพยายามบีบเขาออกจากอำนาจว่าเป็นอีกระดับหนึ่งของความพยายามนับร้อยปีของสหรัฐฯที่จะควบคุมประเทศแถบลาตินอเมริกา