รอยเตอร์ - คนร้ายปาระเบิดโจมตีมัสยิดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของฟิลิปปินส์เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา (30 ม.ค.) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 4 คน โดยก่อนหน้านี้เพียง 3 วันเพิ่งเกิดเหตุระเบิดในพิธีมิสซาของโบสถ์คริสต์บนเกาะโจโลซึ่งคร่าชีวิตคนไปถึง 21 ศพ
เหตุระเบิดครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนเล็กน้อยที่จังหวัดซัมโบอันกา (Zamboanga) บนเกาะมินดาเนา โดยจังหวัดแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะซูลูเป็นจุดที่เกิดเหตุโจมตีโบสถ์คริสต์เมื่อวันอาทิตย์ (27)
กองทัพฟิลิปปินส์เรียกร้องให้กลุ่มผู้นับถือศาสนาต่างๆ บนเกาะมินดาเนามีความสามัคคีปรองดอง และขอให้ประชาชนหยุดวิพากษ์วิจารณ์หรือเผยแพร่ข่าวลือบนโลกโซเชียล
ลีโอเนล นิโคลัส ผู้บัญชาการกองกำลังประจำภูมิภาค ย้ำว่าเหตุโจมตีมัสยิด “ไม่ใช่การแก้แค้น”
สภาอุลามาในจังหวัดซัมโบอันกาได้แถลงประณามการกระทำที่ “เลวทราม ไร้เหตุผล และไร้มนุษยธรรม” และขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง
ก่อนเกิดเหตุแค่ไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ได้แถลงผ่านสื่อโทรทัศน์ว่า เหตุโจมตีชาวคริสต์ที่โบสถ์บนเกาะโจโลอาจเป็นผลงานของพวก “มือระเบิดฆ่าตัวตาย”
คำพูดของ ดูเตอร์เต ขัดแย้งกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง แต่หากเป็นความจริงก็จะถือเป็นระเบิดฆ่าตัวตายครั้งแรกที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ และยืนยันสิ่งที่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาอ้างผ่านสำนักข่าวอามัก
เหตุนองเลือดทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นหลังมีการจัดทำประชามติว่าด้วยการตั้งเขตปกครองตนเองของชาวมุสลิม 5 ล้านคนบนเกาะมินดาเนาเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งประชากรในท้องถิ่นส่วนใหญ่โหวต ‘เห็นชอบ’
ชาวมุสลิมถือเป็นคนกลุ่มน้อยในฟิลิปปินส์ซึ่งประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และมีสัดส่วนเพียงราวๆ 1 ใน 4 ของพลเมืองทั้งหมดบนเกาะมินดาเนา
รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ทำข้อตกลงกับฝ่ายกบฏมุสลิมว่าด้วยการจัดตั้งเขตปกครองตนเอง “บังสาโมโร” (Bangsamoro) ขึ้นในพื้นที่บางส่วนของเกาะมินดาเนา ซึ่งฝ่ายสนับสนุนเชื่อว่าจะช่วยยุติการก่อความไม่สงบ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ซึ่งยังมีอัตราการจ้างงาน รายได้ การศึกษา และการพัฒนาต่ำที่สุดในฟิลิปปินส์
รัฐบาลฟิลิปปินส์เชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธ อาบู ไซยาฟ ซึ่งประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอสน่าจะอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีโบสถ์คริสต์ที่เกาะโจโล
อาบู ไซยาฟ นั้นประกอบไปด้วยนักรบกลุ่มย่อยๆ ที่มีเป้าหมายต่างกัน และยังคงเน้นไปที่การดักปล้นเรือสินค้า หรือลักพาตัวคนไปเรียกค่าไถ่ มากกว่าการทำสงครามศาสนา