เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต และพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับท็อปของเขา เมื่อวันจันทร์ (28 ม.ค.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมโบสถ์คริสต์ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่เพิ่งเกิดเหตุระเบิดซึ่งสังหารชีวิตเหยื่อ 20 คนบาดเจ็บกว่า 100 คน โดยที่กลุ่มไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบ ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าการโจมตีในวันอาทิตย์ (27) คราวนี้ อาจบ่อนทำลายความพยายามสร้างสันติภาพและยุติความรุนแรงจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่เป็นปัญหามาหลายสิบปี
ระเบิดสองลูกซ้อน โดยลูกหนึ่งตูมขึ้นภายในโบสถ์ ส่วนอีกลูกหนึ่งระเบิดขึ้นหลังลูกแรกราว 1 นาทีที่บริเวณด้านหน้าโบถส์ ขณะกำลังมีพิธีมิสซาวันอาทิตย์ในโบสต์คริสต์นิกายคาทอลิกแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโจโล บนเกาะโจโล ที่ชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม แรงระเบิดทำให้ผู้ร่วมพิธีและสมาชิกกองกำลังความมั่นคงเสียชีวิตรวม 20 คน เป็นพลเรือน 15 คนและทหาร 5 นาย ส่วนผู้บาดเจ็บมีกว่า 100 คน ในจำนวนนี้เป็นพลเรือนถึง 90 คน ถือเป็นเหตุระเบิดรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
เกาะโจโลในจังหวัดซูลู ถือเป็นที่มั่นสำคัญของกลุ่มอาบูไซยาฟ ซึ่งประกาศเข้าร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) โดยที่อาบูไซยาฟเที่ยวก่อเหตุโจมตีด้วยระเบิด ลักพาตัว และตัดหัวตัวประกัน มาหลายปีแล้ว
ในวันจันทร์ (28) ประธานาธิบดีดูเตอร์เตเดินเข้าไปตรวจดูภายในโบสถ์ซึ่งยังเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกระเบิด เขาออกคำสั่งให้กองทหารเข้าบดขยี้ปราบปรามพวกอาบูไซยาฟ ซึ่งประมาณการกันว่ามีสมาชิกระหว่าง 300 - 400 คน จากนั้นในเวลาต่อมาเขาได้พบกับครอบครัวของเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในโจโล ซึ่งมองเห็นโลงศพตั้งอยู่เรียงราย
สำนักประธานาธิบดีออกคำแถลงก่อนหน้านี้ว่า จะตามล่าทุกคนที่มีส่วนร่วมในอาชญากรรมขลาดเขลานี้มาลงโทษขั้นเด็ดขาด
เหตุระเบิดนี้เกิดขึ้นไม่ถึงสัปดาห์หลังจากชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในฟิลิปปินส์ลงประชามติรับรองเขตปกครองตนเองใหม่ทางภาคใต้ของประเทศ อันเป็นความหวังในการยุติความรุนแรงจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ดำเนินมาเกือบ 5 ทศวรรษ และทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 150,000 คน อย่างไรก็ดี แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีชาวมุสลิมเป็นชนหมู่มากเห็นชอบแผนการนี้ แต่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในจังหวัดซูลูกลับคัดค้าน
จังหวัดนี้เป็นที่มั่นของกลุ่มกบฏที่คัดค้านเขตปกครองตนเอง และกลุ่มติดอาวุธขนาดเล็กหลายกลุ่มที่ไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอาบูไซยาฟที่ถูกกล่าวหาว่า โจมตีเรือเฟอร์รีในอ่าวมะนิลาเมื่อปี 2004 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 116 คน และถือเป็นการก่อการร้ายรุนแรงที่สุดในแดนตากาล็อก
ไซต์ อินเทลลิเจนซ์ เว็บไซต์ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มญิฮาด ระบุว่า ไอเอสออกคำแถลงอ้างว่า มือระเบิดฆ่าตัวตายของตนสองคนเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดโบสถ์คริสต์ที่โจโลเมื่อวันอาทิตย์
ทว่า แหล่งข่าวทางการทหารของฟิลิปปินส์เผยว่า ระเบิดลูกที่สองบรรจุอยู่ในกล่องอเนกประสงค์บนรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่นอกโบสถ์ ขณะที่ตำรวจเชื่อว่า ระเบิดทั้งสองลูกใช้รีโมทควบคุมจากระยะไกล กระนั้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ว่า ไอเอสมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลคนหนึ่งเปิดเผยกับสำนักข่าวเอพีว่า ฮาติป ซาวัดจาน ผู้บัญชาการของอาบูไซยาฟเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยสำคัญ เนื่องจากกล้องวงจรปิดจับภาพลูกน้องของซาวัดจานอย่างน้อย 4 คนได้ในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ
ซาวัดจานซ่องสุมกำลังอยู่ในป่าในเมืองปาติกุลใกล้โจโล และถูกกล่าวหาว่า ลักพาตัวเรียกค่าไถ่และตัดหัวตัวประกัน ซึ่งรวมถึงชายแคนาดาสองคนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ นอกจากนั้นสมุนของผู้ก่อการร้ายรายนี้ยังเคยถ่ายวิดีโอเรียกร้องค่าไถ่ที่มีฉากหลังเป็นธงสีดำแบบเดียวกับไอเอส
สหประชาชาติ และหลายประเทศประณามการโจมตีโบสถ์คริสต์ในฟิลิปปินส์คราวนี้ อันโตนิโอ กูเตียเรส เลขาธิการยูเอ็น ออกคำแถลงเรียกร้องให้จับตัวคนผิดมารับโทษ และย้ำว่า ยูเอ็นสนับสนุนความพยายามของมะนิลาในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย และสานต่อกระบวนการสันติภาพในพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมาก
ทางด้าน รอมเนล บันลอย ประธานสถาบันเพื่อการวิจัยด้านสันติภาพ ความรุนแรง และการก่อการร้ายแห่งฟิลิปปินส์ กล่าวว่า เหตุการณ์โจมตีล่าสุดเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับรัฐบาลของเขตปกครองตนเองของชาวมุสลิมทางภาคใต้ ซึ่งใช้ชื่อว่าเขตปกครองตนเองบังซาโมโร เนื่องจากอดีตกลุ่มกบฏเหล่านี้ต้องแสดงให้เห็นว่า สามารถนำพาเขตปกครองเข้าสู่สันติภาพเพื่อดึงดูดการลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการแก้ปัญหาความยากจนและต่อสู้กับลัทธิสุดโต่ง
การโจมตีโบสถ์คริสต์ในโจโลยังมีขึ้นทั้งที่ดูเตอร์เตประกาศให้ภาคใต้ของฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกหลังจากกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนไอเอสเข้ายึดเมืองมาราวี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2017