เอเอฟพี – เยอรมนีควรยุติการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าภายในปี 2038 คณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้แถลงสรุปในวันเสาร์ (26 ม.ค.) ขณะเผยแพร่แผนโรดแมปมูลค่า 80,000 ล้านยูโร (ราว 2.88 ล้านล้านบาท) ที่จะทยอยเลิกใช้เชื้อเพลิงสกปรกสร้างมลพิษรุนแรงนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
คณะกรรมการตกลงกันในเรื่องกำหนดเส้นตายนี้ได้ ภายหลังการทะเลาะโต้เถียงกันอย่างเป็นขมขื่นเป็นเวลาหลายเดือน ขณะที่มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้เยอรมนีซึ่งเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าที่สุดในยุโรป เร่งกระทำตามคำมั่นสัญญาของตนในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
คณะกรรมการชุดนี้ซึ่งสมาชิกประกอบด้วยนักการเมือง, ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ, สหภาพแรงงานและบุคคลวงการอุตสาหกรรมจากภูมิภาคที่มีถ่านหิน ประกาศว่าทำข้อตกลงได้แล้วภายหลังวาระการเจรจามาราธอนช่วงสุดท้ายที่กว่าจะจบลงได้เวลาก็ล่วงเลยเข้าเช้าวันเสาร์ (26)
ตามแผนการที่ตกลงกันคราวนี้ เงินช่วยเหลือที่อาจจะมากถึงครึ่งหนึ่งของ 80,000 ล้านยูโร จะจัดสรรให้แก่ภูมิภาคต่างๆ ในบริเวณภาคตะวันตกและภาคตะวันออกของประเทศซึ่งกำลังจะต้องปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินลง ส่วนอีกประมาณครึ่งหนึ่งที่เหลือจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาค่าไฟฟ้าขยับขึ้นสูง
จากนี้ไป ผลการพิจารณาของคณะกรรมการจะถูกส่งต่อให้แก่รัฐบาลเยอรมนี ซึ่งคาดหมายกันว่าน่าจะกระทำตาม ยกเว้นแต่จะเกิดเรื่องเซอร์ไพรซ์สุดๆ
รัฐมนตรีเศรษฐกิจและพลังงาน พีเตอร์ อัลไมเออร์ กล่าวว่า รัฐบาลจะตรวจดูข้อเสนอแนะเหล่านี้อย่างรอบคอบและสร้างสรรค์ หนังสือพิมพ์ฟรังค์ฟูร์เทอร์ อัลเกไมเนอ ไซตุง รายงานเอาไว้ในฉบับวันอาทิตย์ (27)
“ถ้าพวกเราทั้งหมดใช้ความพยายามในเรื่องนี้และมุ่งมั่นไปสู่วัตถุประสงค์ร่วมกันแล้ว เราก็สามารถทำให้เยอรมนีกลายเป็นประเทศตัวอย่างในเรื่องของนโยบายพลังงานได้” รัฐมนตรีคลัง โอลาฟ โชลซ์ กล่าวเสริม
อย่างไรก็ตาม อาร์ดับเบิลยูวี บริษัทผู้ให้บริการด้านกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวนมาก แถลงว่า กำหนดเวลาหยุดใช้ในปี 2038 ถือว่าเร็วเกินไป
ตามตารางเวลาที่กำหนดในแผนการนี้ โรงไฟฟ้าจำนวนมากซึ่งใช้ถ่านหินลิกไนต์ หรือที่เรียกกันว่า ถ่านหินสีน้ำตาล ซึ่งก่อมลพิษมากกว่าพวกถ่านหินสีดำ จะปิดตัวลงภายในปี 2022
แล้วโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งอื่นๆ จะทยอยปิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อถึงปี 2030 กระแสไฟฟ้าของเยอรมนีจำนวน 17 กิกะวัตต์เท่านั้นที่จะผลิตจากถ่านหิน เปรียบเทียบกับในทุกวันนี้ซึ่งอยู่ที่ 45 กิกะวัตต์
โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งสุดท้ายจะปิดในปี 2038 รายงานของคณะกรรมการเสนอแนะ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าอาจเลื่อนให้เร็วขึ้นเป็นปี 2035 ก็ได้ถ้าเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย
ภูมิภาคต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยที่ตำแหน่งงานหลายหมื่นตำแหน่งซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการผลิตถ่านหินทั้งสีน้ำตาและสีดำ จะได้รับเงินค่าชดเชย 40,000 ล้านยูโรในช่วงเวลา 20 ปีข้างหน้า
ขณะที่ในช่วง 20 ปีดังกล่าวจะมีการใช้เงินปีละ 2,000 ล้านยูโร เพื่อช่วยไม่ให้ลูกค้าต้องเผชิญกับราคาไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
ถึงแม้มีชื่อเสียงในเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ในความเป็นจริงเยอรมนียังคงต้องพึ่งพึงถ่านหิน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถือว่าสกปรกที่สุดกันอย่างมากมาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ที่จะทยอยยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ภายในปี 2022 ภายหลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะ ปี 2011 ในประเทศญี่ปุ่น
เยอรมนีเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าซึ่งสร้างมลพิษสูงที่สุดบางแห่งของยุโรป และเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศ
ในปี 2018 ถ่านหินเป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าของเยอรมนีจำนวนกว่า 30% พอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกพลังงานทดแทนอย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม
ชาติยุโรปอื่นๆ นั้นใช้ถ่านหินน้อยกว่าเยอรมนีเยอะทีเดียว โดยที่มีหลายชาติกำหนดเส้นตายในการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินเร็วกว่าของแดนดอยช์ เป็นต้นว่าฝรั่งเศสมีกำหนดปิดทั้งหมดภายในปี 2022 ขณะที่สหราชอาณาจักรและอิตาลีขีดไว้ที่ปี 2025
รัฐบาลเยอรมนียอมรับในปีที่แล้วว่า จะพลาดไม่สามารถทำตามเป้าหมายซึ่งตั้งเอาไว้ว่าภายในปี 2020 จะตัดการปล่อยไอเสียก๊าซเรือนกระจกลงไปให้ได้ราว 40% ของระดับที่ปล่อยในปี 1990
เวลานี้เยอรมนีคำนวณว่าจะทำได้แค่ 32% ซึ่งกำลังบ่อนทำลายบทบาทของแมร์เคิล ในการเป็นผู้นำผลักดันข้อตกลงภูมิอากาศกรุงปารีส