การหารือระหว่างประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นที่กรุงมอสโกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 ม.ค.) ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขข้อพิพาทหมู่เกาะคูริล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สองมหาอำนาจเพื่อนบ้านยังไม่อาจทำสนธิสัญญาสันติภาพอย่างเป็นทางการ แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะปิดฉากไปนานกว่า 70 ปีแล้วก็ตาม
อาเบะ กับ ปูติน เคยพบปะกันมาแล้วถึง 25 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมมือกัน ท่ามกลางข้อพิพาทดินแดนที่ยังคาราคาซัง
หมู่เกาะคูริลซึ่งกั้นกลางระหว่างทะเลโอคอสต์กับมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งในภูมิภาคซัคคาลิน-โอบลาสต์ของรัสเซีย แต่รัฐบาลญี่ปุ่นอ้างว่า 4 เกาะทางใต้สุด ซึ่งได้แก่ อิตูรุป (Iturup), คูนาชีร์ (Kinashir), ชิโกตัน (Shikotan) และฮาโบไม (Habmai) เคยเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดฮอกไกโดที่ถูกสหภาพโซเวียตบุกยึดไปในช่วงไม่กี่วันสุดท้ายก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบลง
หมู่เกาะเหล่านี้อยู่ห่างจากชายฝั่งตอนเหนือสุดของเกาะฮอกไกโดเพียง 10 กิโลเมตร และมีประชากรอาศัยอยู่ราว 20,000 คน
กองทัพสหภาพโซเวียตเริ่มประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ 9 ส.ค. ปี 1945 หรือหลังจากที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาแล้ว และได้ส่งกองกำลังเข้าไปยึดหมู่เกาะทั้ง 4 ไว้หลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม
รัสเซียอ้างว่าประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. รูสต์เวลต์ ของสหรัฐฯ ได้ให้สัญญากับ โจเซฟ สตาลิน ว่าจะเปิดทางให้สหภาพโซเวียตทวงคืนหมู่เกาะคูริล เพื่อแลกกับการเข้าร่วมสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
ในปี 1956 นิกิตา ครุสเชฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต เคยเสนอว่าจะยกเกาะชิโกตันและฮาโบไมคืนให้แก่ญี่ปุ่นหลังจากทั้ง 2 ฝ่ายทำสนธิสัญญาสันติภาพ ทว่าแนวคิดดังกล่าวถูกล้มเลิกไปเมื่อญี่ปุ่นยืนยันว่าต้องการได้ทั้ง 4 เกาะกลับคืน และยังไปทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐอเมริกา
หมู่เกาะคูริลใต้ทั้ง 4 แห่งนับว่ามีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย เนื่องจากทะเลในช่องแคบระหว่างเกาะอิตูรุปกับคูนาชีร์นั้นไม่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ซึ่งหมายความว่ากองเรือแปซิฟิกและเรือดำน้ำรัสเซียที่มีฐานอยู่ในเมืองวลาดิวอสต็อกจะสามารถใช้เป็นเส้นทางเข้า-ออกมหาสมุทรแปซิฟิกได้ตลอดทั้งปี
รัสเซียยังได้เข้าไปตั้งฐานทัพและติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธเอาไว้บนหมู่เกาะเหล่านี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในอดีตล้วนมีความพยายามที่จะทวง “ดินแดนตอนเหนือ” (Nothern Territories) เหล่านี้กลับคืนจากรัสเซีย แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ
ปูติน เผยต่อสื่อมวลชนว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังจำเป็นต้องหารือรายละเอียดอีกมากก่อนที่จะทำข้อตกลงกันได้ ทว่าการประชุมซัมมิตกับ อาเบะ ในครั้งนี้ก็ “ได้ประโยชน์ และมีความสำคัญไม่น้อย”
ผู้นำหมีขาวยังระบุด้วยว่า มอสโกเต็มใจที่จะสานต่อการเจรจากับโตเกียว โดยยึดถือปฏิญญาระหว่างญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตในปี 1965 “ซึ่งระบุให้ต้องมีการเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพกันก่อนเป็นอันดับแรก”
ทางด้าน อาเบะ ก็ยืนยันว่าตนและ ปูติน ได้พูดคุยเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพ “โดยไม่ปิดบังอะไรต่อกัน” และเห็นพ้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมมือกันอย่างแข็งขันต่อไป
ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้ออกมาแถลงประณามสุนทรพจน์ปีใหม่ของ อาเบะ ซึ่งเรียกร้องให้ชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะพิพาทยอมรับว่า “อธิปไตยของดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นอาจเปลี่ยนแปลงไป”
เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวเตือนให้ญี่ปุ่นยอมรับใน “ผลพวงทั้งหมด” ของสงครามโลกครั้งที่ 2 และตระหนักในอธิปไตยของรัสเซียเหนือหมู่เกาะคูริล
ปูติน หวังที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นจาก 18,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีผิดหวังที่ความพยายามร่วมกันพัฒนาหมู่เกาะคูริลใต้ผ่านข้อตกลงทวิภาคียังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกผู้นำหมีขาว ระบุว่า รัสเซียคาดหวังเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นเพื่อกระตุ้นการเจรจาสันติภาพให้คืบหน้าต่อไปได้
“ความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจจำเป็นจะต้องได้รับการส่งเสริม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอื่นๆ” เขากล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า อาเบะ ค่อนข้างเห็นด้วยกับกรอบเจรจาที่จะช่วยให้โตเกียวได้หมู่เกาะชิโกตันและฮาโบไมกลับคืน ทว่าในความเป็นจริงยังไม่มีอะไรรับรองได้ว่ารัสเซียจะยอมสูญเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวหรือไม่ และ ปูติน อาจเผชิญกระแสต่อต้านอย่างหนักจากพลเมืองหมีขาวซึ่งมองว่าอธิปไตยเหนือดินแดนที่ได้มาหลังสงครามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้
ยิ่งไปกว่านั้น การเผชิญหน้าระหว่างกับสหรัฐฯ ซึ่งถือหางคู่ขัดแย้งคนละฟากในสงครามซีเรียและยูเครนก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่มอสโกจะลืมเสียไม่ได้
สหรัฐฯ เตรียมที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces - INF) ในวันที่ 2 ก.พ. นี้ ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธระลอกใหม่ และเนื่องจากญี่ปุ่นได้ลงนามสนธิสัญญาความมั่นคงกับสหรัฐฯ ในปี 1951 ซึ่งเปิดทางให้อเมริกาสามารถส่งทหารเข้าไปประจำการในแดนอาทิตย์อุทัยได้ การคืนหมู่เกาะพิพาททั้ง 4 ให้แก่โตเกียวจึงเท่ากับเปิดทางให้ศัตรูเข้ามาประชิดติดหน้าบ้าน
เดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว ปูติน ได้ออกมาเตือนว่า มอสโกจำเป็นที่จะต้องตอบโต้หากอเมริกาฉีกสนธิสัญญา INF ที่ทำร่วมกันไว้ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
ศูนย์เลวาดาซึ่งเป็นสถาบันโพลอิสระของรัสเซียเผยผลสำรวจเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งพบว่า ชาวรัสเซีย 74% คัดค้านการคืนหมู่เกาะพิพาทให้แก่ญี่ปุ่นเพียงเพื่อจะทำสนธิสัญญาสันติภาพยุติสงคราม และมีผู้ที่เห็นด้วยเพียง 17%