เอเอฟพี - เบร็ตต์ แมคเกิร์ก อดีตทูตพิเศษด้านภารกิจต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในซีเรีย ออกมาแสดงความเป็นห่วงวานนี้ (20 ม.ค.) ว่าสหรัฐฯ กำลังเริ่มถอนทหารออกจากซีเรียตามคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดย “ปราศจากแผนรองรับ”
แมคเกิร์ก ซึ่งเคยรับหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มพันธมิตรต่อต้านไอเอส และตัดสินใจลาออกเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเพื่อประท้วงคำสั่งของทรัมป์ ระบุว่า การที่สหรัฐฯ “ไม่ได้เตรียมแผนรองรับสิ่งที่จะตามมา” ทำให้ทหารอเมริกันเสี่ยงอันตรายมากขึ้น
เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส หลังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่เมืองมานบิจ (Manbij) ในภาคเหนือของซีเรียเมื่อวันพุธที่แล้ว (16) ซึ่งคร่าชีวิตทหารอเมริกันไป 4 นายพร้อมเหยื่ออื่นๆ อีก 15 คน นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ตั้งแต่มีการส่งทหารอเมริกันไปยังซีเรียในปี 2014 เพื่อเป็นที่ปรึกษาและฝึกยุทธวิธีให้แก่กองกำลังท้องถิ่นที่ต้องสู้รบกับพวกไอเอส
ทรัมป์ ประกาศคำสั่งถอนทหาร 2,000 นายออกจากซีเรียเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว สร้างความตกตะลึงแก่ชาติพันธมิตร และนำไปสู่การลาออกของรัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส รวมถึง แมคเกิร์ก ด้วย
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนก็ได้ออกมาให้ข้อมูลย้อนแย้งกันเองเกี่ยวกับเจตนาที่แท้จริงของทรัมป์ ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่าการถอนทหารได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ไม่ระบุว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่
“ประธานาธิบดีกล่าวชัดเจนว่า เรากำลังจะถอนตัว ซึ่งหมายความว่ากองกำลังของเรามีภารกิจเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือการถอนตัวออกมา และต้องออกมาให้ได้อย่างปลอดภัยด้วย” แมคเกิร์ก ระบุ
อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า “เวลานี้เรายังไม่มีแผนรองรับ ซึ่งทำให้ทหารอเมริกันในซีเรียตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง และอาจเปิดช่องให้พวกไอเอสกลับมา”
แมคเกิร์ก ยังเตือนด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่สามารถคาดหวังให้ประเทศหุ้นส่วน เช่น ตุรกี ซึ่งเป็นพันธมิตรนาโต เข้ามารับบทบาทแทนที่อเมริกาในซีเรีย
“มันไม่สามารถทำได้จริง ถ้าทหารของเราถูกสั่งให้ถอนตัว และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องแสวงหาหุ้นส่วนเพื่อเข้ามารับหน้าที่แทน มันไม่มีทางทำได้ นี่คือแผนที่ใช้การไม่ได้”
ทรัมป์ อ้างว่าไอเอสถูกปราบจนพ่ายแพ้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ แมคเกิร์ก และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วย
แมคเกิร์ก เคยเตือนก่อนหน้านี้ว่า การที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากซีเรียเท่ากับช่วยให้รัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แข็งแกร่งขึ้น และยังทำให้วอชิงตันมีอำนาจต่อรองกับรัสเซียและอิหร่านน้อยลงด้วย