xs
xsm
sm
md
lg

หลัง‘สหรัฐฯ’ทิ้งสัญญาควบคุม ‘นุก’พิสัยกลาง ‘รัสเซีย’คาดตะวันตกจะติดตั้งขีปนาวุธประชิดแดนหมีขาวทั้งที่ยุโรปและเอเชีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร

<i>รัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซีย (ขวา) กับ รัฐมนตรีต่างประเทศ ทาโร โคโนะ ของญี่ปุ่น เดินเข้าห้องเจรจาหารือกัน ที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา  ทั้งนี้รัสเซียคาดหมายว่า หลังจากสหรัฐฯฉีกทิ้งสนธิสัญญาไอเอ็นเอฟแล้ว ก็จะติดตั้งประจำการขีปนาวุธประชิดพรมแดนของตนเพิ่มขึ้น ไม่เพียงในยุโรป แต่ในเอเชียด้วย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น </i>
Debris of INF treaty will fall far and wide
By M.K. Bhadrakumar
17/01/2019

รัสเซียคาดการณ์ว่า จากการที่สหรัฐฯฉีกทิ้งสนธิสัญญาจำกัดควบคุมอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็มเอฟ) อย่างเป็นทางการ ฝ่ายตะวันตกจะเพิ่มการติดตั้งขีปนาวุธและเพิ่มการปรากฏตัวทางทหารในบริเวณประชิดชายแดนของรัสเซีย ไม่เพียงแค่ในยุโรปเท่านั้น แต่ยังในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่น

การเจรจาหารือระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียที่นครเจนีวา ในเรื่องสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลางปี 1987 (1987 Intermediate-range Nuclear Forces (INF) treaty) ยุติลงแล้วด้วยความล้มเหลว ในความพยายามร่ำร้องเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยให้สนธิสัญญาฉบับนี้รอดชีวิตอยู่ต่อไป มอสโกได้เสนอว่าพร้อมที่จะให้วอชิงตันส่งผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบขีปนาวุธใหม่ของรัสเซียซึ่งเป็นที่ระแวงสงสัย โดยที่สหรัฐฯกำลังหยิบยกเรื่องนี้เองขึ้นมากล่าวอ้างเป็นหลักฐานรองรับสำหรับการตัดสินใจถอนตัวจากสนธิสัญญาไอเอ็นเอฟ แต่ปรากฏว่าวอชิงตันก็ยังคงปฏิเสธข้อเสนอของแดนหมีขาวนี้อย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม และเดินหน้าย้ำยืนยันว่าฝ่ายตนมีเจตนารมณ์ที่จะยุติการปฏิบัติตามข้อตกลงซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นฉบับนี้ โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ (ดูเพิ่มเติมข่าวการเจรจานี้ได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2019/jan/16/us-russia-inf-treaty-nuclear-missile )

ดังนั้นในตอนนี้เราจึงกำลังก้าวเข้าสู่น่านน้ำซึ่งไม่เคยถูกสำรวจทำเครื่องหมายใดๆ มาก่อนเลยเมื่อพิจารณาในแง่มุมของความมั่นคงระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ รัสเซียนั้นคาดหมายว่าสหรัฐฯจะเพิ่มการนำขีปนาวุธเข้าติดตั้งประจำการในบริเวณใกล้ๆ แนวชายแดนของตน ในการให้สัมภาษณ์ รอสซีย์สกายา กาเซตา (Rossiyskaya Gazeta) หนังสือพิมพ์รายวันของรัฐบาลรัสเซีย นิโคไล ปาตรูเชฟ (Nikolai Patrushev) เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซีย กล่าวในวันอังคาร (15 ม.ค.) ว่า “ในภาพรวมแล้ว การวิเคราะห์ของเราแสดงให้เห็นว่า การปรากฏตัวของอเมริกันตรงบริเวณใกล้ๆ ชายแดนของเราจะเพิ่มทวีขึ้น ... ยิ่งสำหรับพรมแดนด้านตะวันตกของรัสเซียด้วยแล้ว เราสังเกตเห็นทิศทางซึ่งสหรัฐฯกับพวกชาติสมาชิกองค์การนาโต้ (NATO ย่อมาจาก North Atlantic Treaty Organization องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ) รายอื่นๆ เพิ่มทวีการปรากฏตัวทางทหารในพื้นที่ของพวกเขาที่อยู่ใกล้เคียงพรมแดนรัสเซีย โดยที่ในปี 2019 นี้ การจัดวางกองกำลังอาวุธ “กลุ่มยุทธวิธีระดับกองพันนานาชาติ” (multinational battalion tactical groups) (ของนาโต้) ใน ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, เอสโตเนีย, และโปแลนด์ จะดำเนินต่อไป เวลาเดียวกัน บรัสเซลส์ (ในที่นี้หมายถึงนาโต้ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของเบลเยียมนี้ -ผู้แปล) ก็ไม่ได้ปิดบังแอบซ่อนข้อเท็จจริงที่ว่า เป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือการปิดล้อมจำกัดวงประเทศของเรา พิธีเปิดกลุ่มอาคารขีปนาวุธเพื่อการป้องกัน (หรือก็คือ การติดตั้งระบบขีปนาวุธของสหรัฐฯเพื่อใช้สกัดกั้นทำลายขีปนาวุธที่ข้าศึกยิงเข้ามา -ผู้แปล) ในโปแลนด์ ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากสถานที่เช่นนี้อีกแห่งหนึ่งที่เวลานี้กำลังถูกใช้งานอยู่แล้วในโรมาเนีย คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020”

ในทำนองเดียวกัน แนวรอยเลื่อนซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหว “นิวเคลียร์” แห่งใหม่ๆ ยังกำลังปรากฏเพิ่มเติมขึ้นมาเช่นกัน มอสโกคาดการณ์ต่อไปว่าขีปนาวุธของสหรัฐฯยังจะถูกนำไปติดตั้งประจำการยังเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้มองโกประเมินว่า มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหรอกที่จะไปคาดหมายว่าญี่ปุ่นจะตกลงเลือกใช้นโยบายการต่างประเทศที่เป็นอิสระ ในทางกลับกัน ความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือข้อนี้เองซึ่งกำลังทอดเงาดำมืดบดบังบรรยากาศในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น ที่ช่วงหลังๆ มานี้ทำท่าสามารถปรับปรุงกระเตื้องดีขึ้น (ดูเพิ่มเติมได้ที่บล็อกของผู้เขียน-เอ็ม. เค. ภัทรกุมาร- เรื่อง Russia tamps down the Kuril hype ที่ https://indianpunchline.com/russia-tamps-down-the-kuril-hype/)

แล้วความเป็นจริงก็ดูจะรองรับการประเมินคาดคะเนเช่นนี้ โดยหลังจากการพูดจาระดับรัฐมนตรีต่างประเทศที่กรุงมอสโกเมื่อวันจันทร์ (14 ม.ค.) ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) ของรัสเซีย กับรัฐมนตรีต่างประเทศ ทาโร โคโนะ (Taro Kono) ของญี่ปุ่น ปรากฏว่าฝ่ายหลังแสดงความลังเลที่จะเข้ามาแถลงข่าวร่วม เท่ากับเป็นการตอกย้ำถึงบรรยากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในความผูกพันระหว่างประเทศทั้งสอง ข้อสังเกตที่ลาฟรอฟพูดกับสื่อมวลชนในเวลาต่อมาก็ส่งสัญญาณให้เห็นว่า รัสเซียกำลังใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้นในกรณีพิพาททางดินแดนซึ่งมีอยู่กับญี่ปุ่นในเรื่องหมู่เกาะคูริล (Kuril Islands) [1]

ลาฟรอฟเรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาว่าญี่ปุ่นควรจะต้องยอมรับว่ารัสเซียมีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทั้งหมดในเครือข่ายคูริล (Kuril chain)โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของผลลัพธ์จากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างที่ได้ยอมรับกันเอาไว้แล้วภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับต่างๆ รวมทั้งได้รับการยอมรับแล้วโดยสหประชาชาติ โดยในเรื่องนี้ลาฟรอฟกล่าวว่า “การที่ญี่ปุ่นยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถึงผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งสิ้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่อมต้องครอบคลุมถึงเรื่องที่รัสเซียมีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทั้งหมดทางตอนใต้ของเครือข่ายคูริลด้วย”

รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียบอกว่า กฎหมายภายในประเทศของญี่ปุ่นควรที่จะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับการยอมรับเรื่องนี้ โดยในการแก้ไขควรที่จะปรึกษาหารือกับฝ่ายรัสเซีย เขากล่าวต่อไปว่า “นี่คือจุดยืนพื้นฐานของเรา และหากปราศจากก้าวเดินที่มุ่งหน้าไปในทิศทางนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องยากลำบากมากๆ ที่จะคาดหวังว่าจะได้เห็นความคืบหน้าในประเด็นปัญหาอื่นๆ (อย่างเช่นสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น)”

เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วว่า ภายหลังการประกาศยกเลิกสนธิสัญญาไอเอ็นเอฟ กำลังทำให้ฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์ (scenario) เกิดการพัฒนาพลิกผันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการที่ญี่ปุ่นจับมือเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐฯ ในเวลานี้กำลังกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ประการหนึ่งในความสัมพันธ์รัสเซีย-ญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ลาฟรอฟชี้นิ้วอย่างเฉพาะเจาะจงทีเดียวว่า “ปฏิญญาปี 1956 (หมายถึงปฏิญญาร่วมโซเวียต-ญี่ปุ่นปี 1956 Soviet–Japanese Joint Declaration of 1956 -ผู้แปล) [2] ได้มีการลงนามกันเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นยังไม่ได้ทำสนธิสัญญาพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐฯ สนธิสัญญาฉบับนั้นมีการลงนามกันในปี 1960 ภายหลังที่เพื่อนร่วมงานฝ่ายญี่ปุ่นของเราได้ตีจากปฏิญญาปี 1956 เสียแล้ว เวลานี้ในเมื่อเรากำลังฟื้นฟูการพูดจาต่างๆ บนพื้นฐานของปฏิญญาฉบับดังกล่าว เราก็จำเป็นต้องพิจารณาความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่โตมโหฬารยิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นจากการเป็นพันธมิตรทางทหารของญี่ปุ่นภายหลังจากเวลานั้นเป็นต้นมา ในการพูดจากันในวันนี้ เราได้อุทิศความสนอกสนใจให้แก่ความพยายามของสหรัฐฯที่จะพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกระบบหนึ่งขึ้นมาในญี่ปุ่น ด้วยทัศนะที่จะเสริมสร้างแสนยานุภาพในอาณาบริเวณส่วนดังกล่าวของโลก รวมไปถึงการกระทำต่างๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งวอชิงตันยกข้ออ้างเรื่องความจำเป็นในการขจัดลบล้างภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ มาเป็นเหตุผลความชอบธรรมอย่างเป็นทางการสำหรับรองรับการกระทำเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำเหล่านี้กำลังก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านความมั่นคงต่อรัสเซียและจีน”

น่าสนใจทีเดียว ลาฟรอฟหยิบยกความกังวลห่วงใยร่วมกันของรัสเซียและจีนขึ้นมาพูดโดยมุ่งไปที่การเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น และการติดตั้งประจำการขีปนาวุธอเมริกันในญี่ปุ่น นี่คือท่าทีเชิดใส่โตเกียวสืบเนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ ผู้ช่วยคนหนึ่งของอาเบะในพรรคลิเบอรัลเดโมเครติกปาร์ตี้ (Liberal Democratic Party) (พรรครัฐบาลญี่ปุ่นในปัจจุบัน โดยที่อาเบะคือประธานพรรค) ได้กล่าวแถลงด้วยถ้อยคำมุ่งยุแหย่ว่า สหรัฐฯควรที่จะสนใจหาทางให้รัสเซียกับญี่ปุ่นสามารถทำสนธิสัญญากันได้สำเร็จ เพราะนี่จะ “เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มพันธมิตร” ในการปิดล้อมจีน ลาฟรอฟได้เรียกคำแถลงดังกล่าวว่าเป็น “คำแถลงที่ทำให้รู้สึกโกรธเคือง” และใช้ความขุ่นขึ้งของรัสเซียนี้มาตอกกลับอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนที่สุดเท่าที่เขาสามารถกระทำได้ ต่อแผนกโลบายใดๆ ก็ตามของฝ่ายญี่ปุ่นที่จะทำให้เกิดความรับรู้อย่างผิดๆ ขึ้นมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับจีน

“ปัญหาอยู่ที่ว่า ประธานของพรรคลิเบอรัลเดโมเครติกปาร์ตี้ ก็คือนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ เราได้ออกคำเตือนอย่างเคร่งครัดจริงจังไปแล้วในเรื่องที่ว่าการแถลงทำนองนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรขนาดไหน เรายังติดตามสอบถามอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ในเรื่องที่ว่าญี่ปุ่นสามารถมีความเป็นอิสระมากน้อยเพียงใดในการแก้ไขคลี่คลายประเด็นปัญหาใดๆ ก็ตามที ในเมื่อต้องพึ่งพาอาศัยสหรัฐฯอย่างมากมายถึงขนาดนี้ เราได้รับการยืนยันว่าญี่ปุ่นจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยอิงอยู่กับผลประโยชน์แห่งชาติของตน เราปรารถนาที่จะให้มันเป็นเช่นนั้น“ (ดูรายงานละเอียดที่เผยแพร่ทางไชน่าเดลี่ ซึ่งใช้ชื่อเรื่องว่า Russia tells Japan retaking Pacific islands not on horizon (รัสเซียบอกญี่ปุ่นว่าการคืนหมู่เกาะแปซิฟิกไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน) https://www.chinadailyhk.com/articles/55/249/62/1547533578199.html)

ด้วยความหนักแน่นจริงจังพอๆ กับสถานการณ์ทางพรมแดนด้านตะวันตกของรัสเซียที่ประชิดติดกับยุโรป เอเชีย-แปซิฟิกกำลังกลายเป็นภูมิภาคซึ่งนโยบายต่างๆ ของมอสโกจะได้รับอิทธิพลอย่างสำคัญยิ่งจากบรรยากาศใหม่ในด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ แล้วมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้หรอก ภูมิภาคอื่นๆ อยู่ในทำนองเดียวกันนี้เหมือนกัน

แน่นอนที่สุดว่า รัสเซียจะต้องรู้สึกว่าต้องใช้ท่าทีเฝ้าระแวดระวังมากยิ่งขึ้นอีก ในเรื่องที่สหรัฐฯ-นาโต้จะเข้ายึดครองอัฟกานิสถานแบบไม่มีกำหนด ขณะที่การแข่งขันกันของรัสเซียกับอเมริกาในการช่วงชิงตุรกีจะยิ่งทวีความสลับซับซ้อน (อย่าลืมว่าการที่สหรัฐฯติดตั้งประจำการขีปนาวุธในตุรกีนั่นแหละ คือประเด็นปัญหาแกนกลางในระหว่างวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาปี 1962) นอกจากนั้น ยังมีรายงานข่าวซึ่งกำลังออกมาหลายกระแสในเรื่องที่ฐานทัพของสหรัฐฯในกาตาร์ (ที่นี่เป็นที่ตั้งกองบัญชาการส่วนหน้าของกองบัญชาการทหารด้านกลางของสหรัฐฯ US Central Command ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบครอบคลุมทั้งตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน) กำลังจะมีการขยายใหญ่โตขึ้นอย่างมโหฬาร (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.voanews.com/a/qatar-to-expand-air-base-hosting-major-us-military-facility/4546412.html) การตาร์ยังเป็นสถานที่อีกจุดหนึ่งซึ่งอาจถูกใช้เป็นที่ติดตั้งประจำการระบบขีปนาวุธของสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้เมื่อพิจารณาจากสภาวการณ์เช่นนี้ ความสมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอิหร่านก็ถือได้ว่ามีลักษณะเชิงยุทธศาสตร์ในระดับสูงขึ้นมา และความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์ของอิหร่านย่อมต้องถือเป็นผลประโยชน์ระดับสำคัญยิ่งยวดของรัสเซีย

แหลมบอลข่านเป็นอีกภูมิภาคหนึ่งซึ่งยุทธศาสตร์ของรัสเซียจะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ปูตินกำลังออกเดินทางในวันนี้ (17 ม.ค.) เพื่อไปเยือนเซอร์เบีย ซึ่งเป็นพันธมิตรรายหลักรายหนึ่งของมอสโก ทว่าเงื่อนไขต่างๆ กำลังทำท่าอาจจะปะทุขึ้นมาจนเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายตะวันตกกับรัสเซียแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในยูเครนเมื่อปี 2014 ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเซอร์เบีย ปูตินเล่นงานนโยบายการแผ่ขยายอำนาจของนาโต้อย่างหนักหน่วง โดยเขาประณามว่าเป็น “ยุทธศาสตร์ทางการทหารและทางการเมืองซึ่งหลงทิศผิดทางและนำไปสู่ความพินาศ” เขากล่าวหากลุ่มพันธมิตรนาโต้ว่า “พยายามที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่การปรากฏตัวของตนในแหลมบอลข่าน” (ดูเพิ่มเติมบทสัมภาษณ์นี้ได้ที่ http://en.kremlin.ru/events/president/transcripts/59680)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดที่เพิ่มสูงปริ๊ดในด้านความมั่นคงระหว่างประเทศนั้นกำลังรออยู่ข้างหน้า จากการที่สหรัฐฯตัดสินใจถอนตัวออกจากสนธิสัญญาไอเอ็มเอฟ

(เก็บความจากที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ https://indianpunchline.com)

หมายเหตุผู้แปล

[1] หมู่เกาะคูริล (Kuril Islands) เป็นกลุ่มเกาะภูเขาไฟที่ทอดยาวขึ้นไปจากด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น จนถึงคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย ประกอบด้วยหมู่เกาะจำนวนกว่า 50 หมู่เกาะ และหินขนาดเล็กๆ อีกจำนวนมาก ปัจจุบันหมู่เกาะคูริลทั้งหมดอยู่ในการบริหารปกครองของรัสเซีย แต่ญี่ปุ่นอ้างกรรมสิทธิ์เหนือ 4 หมู่เกาะที่อยู่ทางใต้ที่สุด (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kuril_Islands)

[2] ปฏิญญาร่วมโซเวียต-ญี่ปุ่นปี 1956 (Soviet–Japanese Joint Declaration of 1956) สหภาพโซเวียตไม่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นในปี 1951 (สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก) แต่ในวันที่ 19 ตุลาคม 1956 ญี่ปุ่นกับสหภาพโซเวียตได้ลงนามในเอกสารปฏิญญาร่วมซึ่งระบุถึงการสิ้นสุดภาวะสงคราม และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำสนธิสัญญาสันติภาพ รวมทั้งแก้ไขประเด็นปัญหาทางดินแดน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Soviet%E2%80%93Japanese_Joint_Declaration_of_1956)


กำลังโหลดความคิดเห็น