xs
xsm
sm
md
lg

เจาะลึก‘เวียดนาม’เพลี่ยงพล้ำปราชัย และ‘จีน’กลายเป็นผู้ชนะที่‘กัมพูชา’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เดวิด ฮุตต์

<i>เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและประธานาธิบดีของประเทศ (ขวา) จับมือกับนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา  ระหว่างที่ผู้นำกัมพูชาไปเยือนเวียดนามตอนต้นเดือนธันวาคม 2018 </i>
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

How Vietnam lost and China won Cambodia
By David Hutt, @davidhuttjourno
07/01/2019

เวลา 40 ปีผ่านพ้นไปภายหลังระบอบปกครองเขมรแดงที่จีนเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ ได้ล้มครืนลงภายหลังการรุกรานของกองทหารเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เวลานี้กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากัมพูชากำลังอยู่ในวงโคจรของปักกิ่ง มากกว่าของฮานอย

เมื่อ 40 ปีก่อน นั่นคือในวันที่ 7 มกราคม 1979 ทหารเวียดนามประมาณ 100,000 คนสมทบด้วยชาวกัมพูชาผู้แปรพักตร์อีกเกือบ 20,000 คน ได้เดินทัพเข้าสู่กรุงพนมเปญเพื่อโค่นล้มระบอบปกครองเขมรแดงลัทธิเหมาหัวรุนแรงสุดโต่ง

กองกำลังอาวุธผู้รุกรานเหล่านี้ค้นพบผู้รอดชีวิตไม่ถึง 100 คนในนครหลวงแห่งนี้ เขมรแดงซึ่งก้าวขึ้นครองอำนาจตั้งแต่ปี 1975 ได้อพยพผู้คนออกไปจากพนมเปญ ปล่อยทิ้งอาคารบ้านเรือนต่างๆ ให้ทรุดโทรมผุพังและล้มครืน

ในพื้นที่เขตชนบท ซึ่งชาวกัมพูชาแทบทั้งหมดถูกพาเข้าไปพำนักอาศัย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งแห่งการปฏิวัติ “ปีที่ศูนย์” (Year Zero) ของเขมรแดง สถานการณ์เหมือนกับฝันร้ายขวัญผวาซึ่งสะท้อนธรรมชาติอันเลวร้ายสุดๆ ของมนุษย์ หลังจากระบอบปกครองฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระบอบนี้อยู่ในอำนาจยังไม่ทันครบ 4 ปี ชาวกัมพูชาประมาณหนึ่งในสี่ของทั้งหมดได้ล้มตายไปอย่างอเนจอนาถ

จวบจนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน 2018 จึงมีเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโส 2 คนของระบอบปกครองนี้ถูกตัดสินในที่สุดว่า มีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งชนกลุ่มน้อยชาวจาม และชาวเวียดนาม

วันที่ 7 มกราคมได้รับการรำลึกถึงในกัมพูชาในฐานะที่เป็น “วันแห่งการปลดแอก” หรือไม่ก็ “วันแห่งชัยชนะ และครั้งหนึ่งได้ถูกเรียกขานโดยอดีตผู้นำคนหนึ่งว่าเป็น “วันเกิดครั้งที่สอง” ของประเทศชาติ โดยที่วันเกิดหนแรกคือการที่กัมพูชาได้รับเอกราชจากการปกครองแบบอาณานิคมของฝรั่งเศสเมื่อปี 1953

มันยังเป็นวันที่ทั้งกัมพูชาและเวียดนามต่างเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ซึ่งดูเหมือนควบคุมจัดการได้ยากเย็นเหลือเกินของพวกเขา เมื่อต้นเดือนมกราคมนี้ มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์มิตรภาพเวียดนาม-กัมพูชาแห่งใหม่ในจังหวัดมณฑลคีรี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา เป็นการเพิ่มเติมจากอนุสาวรีย์มิตรภาพแห่งดั้งเดิมซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงพนมเปญตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มกราคม พวกเจ้าหน้าที่อาวุโสที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (พคว.) ได้จัดพิธีรำลึกถึงชัยชนะของพวกเขา – ซึ่งถูกเรียกขานกันในฮานอยเวลานั้นว่า “การตอบโต้การรุกรานบริเวณชายแดนภาคตะวันตกเฉียงใต้” (Counter-offensive on the Southwestern border) ด้วยพิธีการอันเคร่งขรึมซึมเศร้า และอนุสาวรีย์ใหม่ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นหลักหมายแห่งวาระครบรอบ 40 ปีคราวนี้

ประมาณการกันเป็นตัวเลขกลมๆ ว่า มีทหารเวียดนาม 25,000 คนสูญเสียชีวิตของพวกเขาไปในกัมพูชาระหว่างเดือนธันวาคม 1978 จนถึงเดือนกันยายน 1989 ซึ่งเป็นตอนที่ทหารเวียดนามถอนตัวออกไปจากกัมพูชาภายใต้ข้อตกลงสันติภาพที่จัดทำขึ้นโดยมีสหประชาชาติเป็นคนกลาง จวบจนกระทั่งถึงช่วงเปลี่ยนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ทีเดียว ในกัมพูชายังคงมีการพูดกันเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์พิเศษ” ระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม อย่างซ้ำๆ ซากๆ จนแทบจะกลายเป็นสำนวนโวหารอันน่าเบื่อหน่ายกันไปเลย ทั้งนี้หลังจากที่เวียดนามได้ช่วยเหลือจัดตั้งและค้ำจุนหนุนหลังรัฐบาลกัมพูชาภายหลังเขมรแดงขึ้นมาในตลอดช่วงทศวรรษ 1980

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้กลับมีคำถามเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับความใกล้ชิดสนิทสนมของความสัมพันธ์พิเศษของพวกเขา นับตั้งแต่ที่ในระยะหลังๆ มานี้จีนได้กลายเป็นผู้จัดหาความช่วยเหลือและการลงทุนรายหลักของกัมพูชา รวมทั้งเป็นหนึ่งในผู้ค้ารายใหญ่ที่สุด ตลอดจนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของกัมพูชา

สิ่งที่มีความสำคัญพอๆ กันก็คือ จีนกำลังเป็นผู้คอยพิทักษ์ปกป้องพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) ซึ่งเวียดนามเป็นผู้หยิกยกขึ้นมาจัดวางให้ได้ครองอำนาจปกครองประเทศเมื่อปี 1979 ขณะที่ฝ่ายตะวันตกต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์พรรค CPP ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ และเป็นไปได้ว่าอาจจะใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรในเร็ววันนี้ สืบเนื่องจากการที่พรรคนี้ถอยห่างออกจากระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคในช่วงหลังๆ

“มันชัดเจนแจ่มแจ้งเหลือเกินว่า ขณะที่เวียดนามเป็นผู้รุกรานกัมพูชา (และโค่นล้มเขมรแดงลงไป) แต่จีนต่างหากซึ่งเป็นผู้กำชัยชนะที่กัมพูชาและตอนนี้เป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ” โสภัล เอีย (Sophal Ear) รองศาสตราจารย์ด้านการทูตและกิจการโลก แห่งวิทยาลัยออคซิเดนทอล (Occidental College) ในนครลอสแองเจลิส ให้ความเห็น “ฮานอยมองดูพนมเปญอย่างละห้อยโหยหา บางครั้งกระทั่งด้วยความโกรธแค้นเล็กๆ บริวารที่พวกเขาอุตส่าห์สร้างขึ้นได้หลบหนีไปเสียแล้ว และไปแต่งงานกับจีน”

ถึงแม้เวียดนามเป็นผู้ปลดแอกกัมพูชาออกมาจากระบอบปกครองฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชาเอง แต่ก็ด้วยเหตุผลเพื่อการป้องกันตัวหรอก ไม่ใช่เพราะจิตใจอันงดงามแบบไม่เห็นแก่ตัว (altruism) ที่เป็นพลังขับดันการเข้าแทรกแซงของเวียดนาม โดยที่เวียดนามเปิดฉากการรุกรานของตนในกัมพูชาอย่างเต็มพิกัดเพียงแค่ 13 วัน ก่อนที่จะสามารถเคลื่อนทัพเข้าสู่พนมเปญ ถึงแม้ความเคลื่อนไหวนี้ได้รับการกระตุ้นจูงใจมาเป็นเวลาแรมปีแล้วจากการที่กองกำลังเขมรแดงเข้าไปรุกล้ำชายแดนเวียดนามระดับย่อมๆ อยู่เป็นประจำ

กระนั้นก็ตาม ในระหว่างทศวรรษ 1980 เวียดนามยังคงต้องจ่ายค่าตอบแทนอันแสนหนักอึ้งทีเดียว ส่วนใหญ่เนื่องมาจากประชาคมระหว่างประเทศคัดค้านรัฐบาลใหม่ที่ฮานอยจัดวางแต่งตั้งขึ้นมา ทั้งนี้กลุ่มซึ่งในเวลาต่อมาจะกลายเป็นพรรค CPP โดยที่ได้เปลี่ยนชื่อของตนกันในปี 1991 นี้ ถูกกองทหารเวียดนามเอาขึ้นครองอำนาจในฐานะเป็นรัฐบาลกัมพูชายุคหลังเขมรแดง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 1979

ฮุนเซน อดีตผู้บังคับบัญชากกองกำลังอาวุธเขมรแดงระดับกลางๆ คนหนึ่ง ได้ถูกวางให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1985 โดยที่เขาก็ยึดตำแหน่งนี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่นนับแต่นั้นมา

อย่างไรก็ดี จีนได้ให้การหนุนหลังเขมรแดงอยู่โดยตลอดทั้ง 4 ปีที่พวกเขาปกครองประเทศและกระทั่งภายหลังจากนั้นมาอีก เมื่อตอนที่เขมรแดงได้ถูกลดทอนหดตัวลงจนกระทั่งทำได้เพียงแค่เปิดการโจมตีขนาดเล็กๆ จากฐานที่มั่นต่างๆ ของพวกเขาบริเวณประชิดชายแดนไทยจวบจนกระทั่งถึงประมาณกลางทศวรรษ 1990 อันที่จริงแล้ว ไม่เพียงเฉพาะปักกิ่งหรอก สหรัฐฯและบางชาติยุโรปก็เช่นเดียวกันได้ยึดถือว่าเขมรแดงเป็นรัฐบาลอันถูกต้องชอบธรรมของกัมพูชามาตลอดเกือบๆ ช่วงทศวรรษ 1980 ทีเดียว เนื่องจากแรงจูงใจทางการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็น

ทุกวันนี้ พนมเปญไม่ได้กระตือรือร้นที่จะเสนอภาพประวัติศาสตร์ช่วงนี้ในลักษณะเชิงศีลธรรมแบบเทพต่อสู้กับมารอย่างเช่นที่พวกเขาได้เคยกระทำมาในอดีตอีกแล้ว

ในเดือนมกราคมของปีที่แล้ว ภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อซึ่งทำกันอย่างเนี้ยบดูดีเรื่องหนึ่ง ที่เนื้อเรื่องพูดถึงเรื่องราวซึ่งฮุนเซนแปรพักตร์จากเขมรแดงและการต่อสู้คัดค้านเขมรแดงของเขา ได้ถูกนำออกฉายทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ปรากฎว่าไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวซึ่งเอ่ยถึงเรื่องที่จีนเป็นผู้หนุนหลังรายหลักของระบอบปกครองฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รายนี้เลย การบิดเบือนประวัติศาสตร์เช่นนี้ช่างกระทำกันได้ง่ายดายเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ฮุนเซนนั่นแหละเป็นผู้ที่กล่าวคำพูดซึ่งมีชื่อเสียงมากเอาไว้เมื่อตอนปลายทศวรรษ 1980 ที่ว่า จีนเป็น “รากเหง้าต้นตอของทุกสิ่งทุกอย่างที่ชั่วร้าย” ในกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ในอีก 1 ทศวรรษต่อมา เขากลับมองเห็นจีนว่าเป็น “เพื่อนมิตรที่ไว้วางใจได้มากที่สุด” ของกัมพูชา ทุกวันนี้ ถ้อยคำที่เหมาะสมที่สุดสำหรับให้พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลใช้เรียกขานจีนก็คือ “เพื่อนมิตรที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอื่น” (ironclad friend)

แต่ว่าทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ปล่อยทิ้งเวียดนามเอาไว้ที่ตรงไหนล่ะ? มีสัญญาณสิ่งบ่งบอกอันชัดเจนจำนวนหนึ่งซึ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนามกำลังบูดเปรี้ยว โดยที่สำคัญที่สุดเนื่องมาจากเวลานี้ปักกิ่งกำลังเข้าช่วงชิงฉวยคว้าบทบาทต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่งฮานอยเคยแสดงอยู่ในกัมพูชา เศษๆ กระเซ็นกระสายของความไม่พอใจเช่นนี้ในระดับเจ้าหน้าที่ ได้หลุดเล็ดออกมาเป็นระยะๆ จากประตูซึ่งปิดสนิทระหว่างการพบปะหารือทางการทูตครั้งต่างๆ

ซอย โสเพียบ (Soy Sopheap) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางเจรจารอมชอมทางการเมืองให้ฮุนเซนมาเป็นเวลายาวนาน และเป็นผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของ “เฟรชนิวส์” (Fresh News) กระบอกเสียงซึ่งส่งเสียงดังที่สุดของรัฐบาลกัมพูชา เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เขาอุทิศส่วนหนึ่งของรายการแชตโชว์ของเขาทาง บีทีวี นิวส์ (BTV News) สถานีโทรทัศน์ช่องข่าวซึ่งเจ้าของคือ ฮุน มานา (Hun Mana) บุตรสาวของฮุนเซน ให้แก่การระบายความคับแค้นใจอย่างกราดเกรี้ยวต่อพวกธุรกิจต่างๆ ของชาวเวียดนาม ซึ่งกำลังเป็นผู้ถือครองสัมปทานที่ดินเป็นระยะเวลายาวเหยียดในกัมพูชา จุดสำคัญก็คือในเดือนเดียวกันนั้นเอง ในเวียดนามก็มีเสียงร้องทุกข์เกี่ยวกับพฤติการณ์แบบเดียวกันนี้ของพวกธุรกิจจีน กระทั่งลุกลามอย่างรวดเร็วเกิดเป็นการประท้วงครั้งใหญ่อย่างฉับพลันตลอดทั่วทั้งเวียดนามทีเดียว

“เราไม่เคยกล้าพอที่จะพูดออกมา เพราะเราเอาแต่กลัวเวียดนามอยู่เรื่อย” โสเพียบกล่าวย้ำออกอากาศ ก่อนที่จะวิพากษ์โจมตีรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม ฝ่าม บิ่ง มิงห์ (Pham Binh Minh) อย่างดุเดือดว่า “กำลังดูถูกดูหมิ่นกัมพูชา

ไม่น่าเป็นไปได้หรอก ใครบางคนซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักระดับเขาจะได้รับอนุญาตให้ออกความเห็นแบบโหมกระพือความโกรธแค้นเช่นนี้ในสภาพแวดล้อมทางสื่อที่ถูกกดขี่ควบคุมอย่างเข้มงวดของกัมพูชา ถ้าหากไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคอยให้ท้ายอยู่

อันที่จริงก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน นั่นคือเดือนมีนาคม ตัวฮุนเซนได้เคยพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีหูรูดยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ “ผมจะต้องตั้งคำถามเอากับเพื่อนเวียดนามของเรา ว่าจริงๆ แล้วพวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อตัวผมและต่อกัมพูชาหรือไม่” เขากล่าวในการปราศรัยครั้งหนึ่ง แล้วนี่ก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรกซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองถูกใส่เครื่องหมายคำถาม

ระยะสองสามปีมานี้ รัฐบาลกัมพูชาได้ออกโรงมาขัดขวางป้องกันถึง 2 ครั้ง 2 ครา ไม่ให้สมาคมอาเซียนออกคำแถลงที่ใช้ถ้อยคำแรงๆ เพื่อคัดค้านต่อต้านลัทธิแผ่ขยายอำนาจของจีนในทะเลจีนใต้ โดยที่เวียดนามคือประเทศซึ่งช่วงชิงแข่งขันกับจีนอย่างแข็งขันไม่ละลดในเรื่องดินแดนในน่านน้ำดังกล่าว

ขณะที่มาเลเซียและฟิลิปปินส์ต่างได้ถดถอยลดหย่อนการตำหนิติเตียนของพวกเขาต่อการกระทำของจีนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่เวียดนามยังคงส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังๆ ต่อไปอย่างสม่ำเสมอ น่าจะกล่าวได้ว่าการที่ฮานอยมีสายสัมพันธ์ที่กระเตื้องดีขึ้นกับวอชิงตัน ด้วยความที่ทั้งสองฝ่ายต่างปรารถนาเช่นเดียวกันในการมุ่งจำกัดอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนนั้น มีส่วนส่งเสริมให้กำลังใจเวียดนามในการแสดงตนเป็นฝ่ายค้านปักกิ่ง

อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่การแสดงความคิดเห็นอย่างดุดันของฮุนเซน เป็นไปเพียงเพื่อสร้างความชื่นชอบให้แก่ผู้ชมผู้ฟังภายในประเทศของเขาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเปิดเผยให้เห็นการทะเลาะเบาะแว้งลักษณะทวิภาคีกับเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อทัศนะที่เผ็ดร้อนเช่นนี้ปรากฏขึ้นท่ามกลางการใช้ถ้อยคำโจมตี สม รังสี (Sam Rainsy) นักการเมืองฝ่ายค้านมากประสบการณ์ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party หรือ CNRP) ที่เวลานี้ถูกสั่งยุบพรรคไปแล้ว และตัว สม รังสี เองก็หลบลี้หนีภัยไปอยู่ในต่างประเทศแล้วหลายปี

สม รังสี และพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรค CNRP ได้โฆษณาป่าวร้องมาหลายทศวรรษแล้วว่า ฮุนเซน เป็นเพียง “หุ่นเชิด” ของเวียดนาม และสมยอมมอบอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาให้แก่ฮานอย

พวกเขายังใช้วาทกรรมต่อต้านเวียดนามอย่างดุเดือดเผ็ดมัน โดยมุ่งโหมฮือแนวความคิดแบบคลั่งชาติซึ่งย้อนหลังกลับไปได้ถึงยุคศตวรรษที่ 19 “ส่งพวกญวน (yuon) อพยพกลับบ้านไป” นี่คือหนึ่งในข้อเสนอของ สม รังสี ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 1998 ด้วยการใช้คำเรียกขานซึ่งถือกันวาเป็นการดูถูกมุ่งเหยียดเชื้อชาติ มาเรียกชาวเวียดนาม

แต่ในความพยายามของเขาที่จะวาดภาพทาสีให้เห็นว่า สม รังสี เป็นผู้มีพฤติการณ์ทรยศขายชาติ อันเป็นส่วนหนึ่งในวาทกรรมของพรรค CPP ซึ่งใช้อ้างเป็นเหตุผลชอบธรรมสำหรับเรื่องที่ศาลกัมพูชาออกคำสั่งยุบเลิกพรรค CNRP ฮุนเซนก็ได้หวนกลับมาเล่นงานฝ่ายค้านของเขาผู้นี้ ด้วยการระบุว่า สม รังสี ได้เคยพบปะอย่างลับๆ หลายครั้งกับทางกระทรวงการต่างประเทศของเวียดนามเมื่อปี 2003 โดย ฮุนเซน มุ่งหมายที่จะบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่า สม รังสี คือพวกที่แอบเห็นเห็นใจเข้าข้างเวียดนาม

เมื่อปีที่แล้วยังมีรายงานข่าวว่า คณะผู้นำระดับสูงของฮานอยได้แสดงความไม่พอใจต่อทิศทางทางการเมืองของกัมพูชา

อลัน พาร์คเฮาส์ (Alan Parkhouse) นักหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการมากประสบการณ์ในกัมพูชา เขียนเอาไว้ในเอเชียไทมส์เมื่อต้นปีที่แล้วว่า เจ้าหน้าที่ระดับโปลิตบูโร (กรรมการของกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์) หลายคนในฮานอย “แสดงความไม่พอใจของพวกเขาออกมาระหว่างการประชุมหารือกันแบบปิดประตูคุยกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน (ปี 2017) ในเวียดนาม โดยไปไกลถึงขนาดบอกให้ ฮุนเซน ก้าวลงจากตำแหน่งภายหลังเมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมแล้ว” ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของบุคคลวงในรัฐบาลกัมพูชา

คำอธิบายอันชัดเจนที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ซึ่งกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ เช่นนี้ ก็คือ จีน “หลังจากปี 1997 ฮุนเซนค่อยๆ นำพากัมพูชาเคลื่อนห่างออกมาจากการรักษาความสัมพันธ์กับทั้งเวียดนาม, จีน, และฝ่ายตะวันตก อย่างมีความสมดุล โดยเปลี่ยนมาเป็นอย่างเช่นที่เกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้ กล่าวคือ พึ่งพาอาศัยจีนในทางเศรษฐกิจ” พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) อาจารย์ของวิทยาลัยประชาคมอาเซียนศึกษา (College of Asean Community Studies) มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก กล่าวให้ความเห็น

จากการแปลความหมายของเหตุการณ์ต่างๆ ในแนวทางนี้ ย่อมพินิจพิจารณาได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วสำหรับกัมพูชาที่จะสูญเสียความสนใจต่อเวียดนามไปในบางระดับ เนื่องจากพวกเขาสามารถได้ประโยชน์กว่ามากมายจากทางฝ่ายจีน

ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเขียนให้วารสาร “กิจการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Southeast Asian Affairs) ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้ว สตีเวน เฮเดอร์ (Steven Heder) นักวิจัยซึ่งทำงานอยู่ที่ วิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและแอฟริกาศึกษา ของมหาวิทยาลัยลอนดอน (London’s School of Oriental and African Studies) บอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดเมื่อมองผ่านแท่งปริซึมของความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรค แทนที่จะใช้ทัศนะมุมมองเดิมๆ แบบประเทศต่อประเทศ

ทั้งนี้ 2 พรรคการเมืองที่เป็นผู้ปกครองของเวียดนามและของกัมพูชา ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากมาเป็นเวลา 4 ทศวรรษ เจ้าหน้าที่ของพรรค CPP จำนวนมากไปศึกษาที่เวียดนามในช่วงทศวรรษ 1980 และทศวรรษ 1990 และหลังจากนั้นหลายๆ คนยังคงมองหาฮานอยเพื่อขอคำปรึกษาชี้แนะในเรื่องนโยบายและในการบริหารปกครอง

การที่สามารถธำรงรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศทั้งสองเอาไว้ได้นั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ได้แก่การติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างกองทัพประชาชนเวียดนาม (Vietnamese People’s Army หรือ VPA) กับ กองทัพกัมพูชา (Royal Cambodian Armed Forces หรือ RCAF) โดยที่กองทัพกัมพูชานั้นในทางเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการมีฐานะเป็นฝ่ายกองกำลังติดอาวุธของพรรค CPP

นายทหารระดับอาวุโสแทบทั้งหมดของกองทัพกัมพูชา คือเจ้าหน้าที่ของพรรค CPP รวมไปถึง ฮุน มาเนต (Hun Manet) บุตรชายของ ฮุนเซน ซึ่งเวลานี้ถือเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่สุดคนหนึ่งของฝ่ายทหารของกัมพูชา

ฝ่ายทหารของเวียดนามยังคงถือครองการลงทุนสำคัญๆ อยู่ในเศรษฐกิจของกัมพูชาด้วย เมตโฟน (Metfone) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชานั้น เจ้าของคือ กลุ่มอุตสาหกรรมการทหารและโทรคมนาคม เวียตเทล (Viettel) ของฝ่ายทหารเวียดนาม

พิจารณาจากทัศนะมุมมองระหว่างพรรคกับพรรค ความสัมพันธ์กัมพูชา-เวียดนามไม่เพียงได้รับการธำรงรักษาเอาไว้ในระดับการบริหารปกครองระดับสูง โดยผ่านการตกลงเห็นพ้องกันของพรรคผู้ปกครองประเทศทั้งสองซึ่งมีความเห็นอย่างเดียวกันในสิ่งต่างๆ มากมายอยู่แล้ว แต่ยังอาศัยการติดต่อกันในระดับล่างๆ ลงมา เป็นต้นว่าระหว่างพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารพวกนายทหารของกองทัพ

ตอนที่ พลเอก โง ซวน หลิก (Ngo Xuan Lich) รัฐมนตรีกลาโหมเวียดนาม เดินทางเยือนกรุงพนมเปญตอนปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ฮุนเซนได้พูดถึงจุดนี้ด้วยการเน้นย้ำว่าการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างฝ่ายทหารของทั้งสองประเทศยังคงเป็นไปอย่างเหนียวแน่น

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคกำลังมีการเบี่ยงเบนอยู่เหมือนกัน ในด้านหนึ่ง พรรคคอมมิวนิสต์ที่มีนโยบายกดขี่ของเวียดนาม จะต้องเกิดระแวงภัยขึ้นมาถ้าหากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยในประเทศเพื่อนบ้านของตนแห่งนี้ ทำให้เกิดการส่งมอบอำนาจไปให้แก่พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไว้วางใจไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ชนะการเลือกตั้งคือพรรค CNRP เมื่อพิจาณาถึงจุดยืนต่อต้านเวียดนามมาอย่างยาวนานของพรรคนี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมแทบไม่มีเหตุผลทางการทูตรองรับเลย สำหรับการที่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจะคัดค้านการปกครองของ ฮุนเซน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าไม่มีเพื่อนบ้านของเวียดนามรายไหน ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา, ลาว, หรือจีน ได้เคยมีระบอบประชาธิปไตยที่ทำงานได้ในช่วงระยะเวลาอย่างน้อยที่สุดในรอบ 50 ปีหลังมานี้

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งเวียดนามทุกวันนี้มีความกระตือรือร้นที่จะโปรโมตส่งเสริมการค้าเสรี และปลอบโยนความกังวลห่วงใยของฝ่ายตะวันตกเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาคแถบนี้

แต่กระนั้น ฮานอยก็ไม่ต้องการให้พวกรัฐบาลต่างประเทศเที่ยวสอดส่ายสายตาแห่งนักลัทธิแทรกแซงเข้าไปในกิจการต่างๆ ของภูมิภาค ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่าฮานอยเกรงว่าฝ่ายตะวันตกยังจะเริ่มตั้งคำถามเอากับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวียดนามด้วย

ข้อตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามทำกับสหภาพยุโรป ซึ่งคาดหมายกันว่าจะสามารถช่วยเหลือขับดันเศรษฐกิจของประเทศนี้ไปได้อีกไกลนั้น เวลานี้อยู่ในสภาพไม่แน่ไม่นอน เนื่องจากทางอียูแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะสิทธิมนุษยชน

ทว่าสภาพเช่นนี้แหละคือผลลัพธ์อันแน่นอนที่จะต้องเกิดขึ้นมา จากการที่พรรค CPP เข้าปราบปรามและถึงขนาดยุบเลิกพรรคฝ่ายค้านอย่าง CNRP สหรัฐฯนั้นได้ประกาศใช้มาตรการแซงก์ชั่นต่อเจ้าหน้าที่กัมพูชาบางคนแล้วด้วยซ้ำไป อีกทั้งให้คำมั่นว่าจะมีเพิ่มเติมต่อไปอีก ขณะที่สหภาพยุโรปก็เลือกใช้วิธีลงโทษด้วยการถอนชื่อกัมพูชาออกจากการได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร

พวกผู้สังเกตการณ์อิสระไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะร้องโวยวายว่า อียูกำลังแสดงตนเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล จากการลงโทษกัมพูชาด้วยข้อหามีประวัติอันเลวร้ายในเรื่องสิทธิมนุษยชน ทว่ากลับไม่จัดการในทำนองเดียวกันกับเวียดนาม

กระนั้นยังคงมีคำถามอยู่ว่า กัมพูชากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้ชิดจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เวียดนามคือผู้สูญเสีย หรือว่าจริงๆ แล้วพรรค CPP กำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคือผู้สูญเสีย? ปักกิ่งในเวลานี้ก็กำลังเสนอการติดต่อแลกเปลี่ยนกันในลักษณะพรรคต่อพรรค ตลอดจนแสดงบทบาทที่เป็นด้าน “อำนาจละมุน” (soft power) ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นสิ่งที่ฮานอยเท่านั้นเป็นผู้กระทำ

มีข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ของกัมพูชาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเดินทางไปจีนทั้งเพื่อเยี่ยมชมสังเกตการณ์ว่าแดนมังกรมีการดำเนินการต่างๆ ทางการเมืองกันอย่างไร กระทรวงแทบทั้งหมดของกัมพูชาต่างมีข้อตกลงทวิภาคีกับฝ่ายจีนเพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือกัน ปักกิ่งยังได้ให้เงินทุนแก่กลุ่มคลังสมองใหม่ๆ ในกัมพูชา และกระทั่งจ่ายเงินให้แก่พวกนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ชาวกัมพูชาเพื่อให้มาเยือนจีนและศึกษาร่ำเรียนเคียงข้างกับนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ชาวจีน

ต้องขอบคุณโครงการให้ทุนการศึกษาด้านต่างๆ หลายหลาก เวลานี้จึงมีชาวกัมพูชากว่า 1,000 คนศึกษาอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในจีน โดยที่คนเหล่านี้จำนวนมากจะกลับไปครอบครองตำแหน่งอันทรงความสำคัญของกัมพูชาในอนาคตข้างหน้า พวกเขาส่วนใหญ่ทีเดียวน่าจะกลับบ้านโดยที่ชุ่มโชกอิ่มเอิบด้วยความคิดมุมมองเกี่ยวกับกิจการโลกในแบบจีน ซึ่งเวียดนามคือผู้ที่พยายามแสดงบทบาทในทางตรงกันข้ามอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทะเลจีนใต้

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มความสนับสนุนขึ้นอีกในเรื่องโครงการจำพวกการแลกเปลี่ยนเยาวชน ในขณะที่เขาพบปะหารือกับ ฮุน มานี (Hun Many) บุตรชายคนหนึ่งของฮุนเซน ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานของสหภาพสหพันธ์เยาวชนกัมพูชา (Union of Youth Federations of Cambodia) องค์กรหนึ่งในเครือข่ายพันธมิตรของพรรค CPP

คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งในเรื่องความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรคของกัมพูชากับเวียดนาม ได้แก่การที่ฮุนเซนมีฐานะสูงสุดเหนือพรรค CPP อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกนักวิเคราะห์ชี้ว่า พวกผู้นำระดับคนเก่าคนแก่ของ CPP เป็นต้นว่า เจีย ซิม (Chea Sim) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานของพรรค CPP ในช่วงระหว่างปี 1991 ถึง 2015 และขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่โปรเวียดนามอย่างเหนียวแน่น ต่างอยู่ในวัยชราหรือไม่ก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว (เจียซิม ก็ถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อปี 2015)

รัฐมนตรีมหาดไทย ซาร์ เคง (Sar Kheng) เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรค CPP อีกคนหนึ่งซึ่งถูกระบุว่ายังคงมีความผูกพันใกล้ชิดมากกับฮานอย ถึงแม้การควบคุมของเขาที่มีเหนือพรรคนั้น แน่นอนทีเดียวว่าไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับของฮุนเซน การเสียชีวิตหรือการหมดอิทธิพลของพวกเจ้าหน้าที่โปรเวียดนามทำนองนี้ เป็นการเปิดทางให้พรรค CPP ขบคิดพิจารณาใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศของตน พวกนักวิเคราะห์กล่าวกันเช่นนี้

“อย่างน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นว่า ฮุนเซนเป็นผู้ที่ถือไพ่เกือบทุกๆ ใบในพรรค CPP เอาไว้ในกำมือ ในตอนต้นทีเดียวนั้น ฮุนเซน พยายามที่จะสร้างความสมดุลระหว่างเวียดนามกับจีน การที่เขาตัดสินใจหะรท่ขยับเข้าใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจีน เป็นสิ่งที่ได้รับการหนุนหลังจากพรรค CPP เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ฮุนเซน ก็คือพรรค CPP นั่นเอง” แชมเบอร์ส กล่าว

ไม่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคต่อพรรค ยังเป็นที่ชัดเจนว่ามีความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างทหารต่อทหารด้วย โดยที่กองทัพจีนมีการสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับกองทัพกัมพูชา และในกระบวนการนี้ก็เป็นไปได้ว่าทำให้ความผูกพันระหว่างฝ่ายทหารของกัมพูชากับของเวียดนามด้อยความสำคัญลงไป

กองทัพจีนกับกองทัพกัมพูชาในเวลานี้จัดการฝึกซ้อมร่วมทางทหารเป็นประจำ โดยใช้ชื่อรหัสว่า “มังกรทอง” (Golden Dragon) ปักกิ่งยังคอยเชื้อเชิญเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านกลาโหมของกัมพูชาเดินทางไปเยือนแบบเป็นทางการ เรื่องนี้ยิ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญเพิ่มมากขึ้นอีก หลังจากที่การปฏิบัติการฝึกซ้อมที่กัมพูชาเคยทำกับฝ่ายทหารของสหรัฐฯ ได้ถูกพนมเปญประกาศเลื่อนออกโดยไม่มีกำหนดเวลา ในทางกลับกันกองทัพเวียดนามเวลานี้กลับกำลังมีความผูกพันใกล้ชิดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กับฝ่ายทหารอเมริกัน

ในระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ จีนยังได้ให้ความสนับสนุนช่วยเหลือเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์แก่ฝ่ายทหารของกัมพูชา เป็นต้นว่าเมื่อปีที่แล้วได้ให้ความช่วยเหลือแก่ด้านกลาโหมของกัมพูชาเพิ่มเติมเป็นจำนวน 130 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นปีที่แล้วเช่นกันจีนยังประกาศให้เงิน 2.5 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือการเก็บกู้และทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่พวกเขมรแดงเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงแม้รายการบริจาคช่วยเหลือเช่นนี้ในอดีตที่ผ่านมาจะกระทำโดยสหรัฐฯและญี่ปุ่น

ในเดือนพฤศจิกายน ผู้เขียน (เดวิด ฮุตต์) ได้ร่วมเขียนรายงานข่าวฉบับหนึ่งเพื่อเผยแพร่ทางเอเชียไทมส์ โดยพูดถึงข่าวลือที่ว่าจีนกำลังล็อบบี้เพื่อหาทางสร้างฐานทัพเรือแห่งหนึ่งขึ้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา และทำนายเอาไว้อย่างถูกต้องว่าประเด็นว่าจะถูกหยิบยกขึ้นมาสอบถามซักไซ้โดยพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ รวมทั้งรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เมื่อพวกเขาเข้าร่วมการประชุมหลายรายการในเอเชียในช่วงเวลานั้น ฮุนเซนและพวกนักการเมืองอาวุโสของกัมพูชาคนอื่นๆ ได้ใช้เวลาช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาในการปฏิเสธข้อกล่าวหานี้

ตอนที่เขาเดินทางไปเยือนเวียดนามในเดือนธันวาคม ฮุนเซน ได้บอกกับนายกรัฐมนตรี เหวียน ซวน ฟุก (Nguyen Xuan Phuc) ของเวียดนามว่า รายงานดังกล่าวเป็น “ข่าวปลอม, ข่าวโกหก, และข่าวที่หวังผลในทางทำลาย” ขณะเดียวกันก็กล่าวย้ำคำพูดตอบโต้ที่เขาชอบพูดบ่อยๆ ที่ว่า “รัฐธรรมนูญของกัมพูชาไม่อนุญาตให้มีฐานทัพทหารใดๆ ของต่างชาติในราชอาณาจักรแห่งนี้”

อย่างไรก็ตาม เฉพาะช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น พรรค CPPก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญของประเทศเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดายเพื่อตอบสนองความประสงค์ทางการเมืองและความประสงค์อย่างอื่นๆ ของพรรค สำหรับอนาคตของความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างกัมพูชาล เวียดนาม, และจีนนั้น มันน่าที่จะดำเนินไปบนเส้นทางเดียวกันกับที่กำลังเดินอยู่ในระยะไม่กี่ปีหลังๆ นี้

ในทางวาจาคำพูดแล้ว กัมพูชาจะยังคงรักษาระยะห่างจากพันธมิตร 2 รายนี้เท่าๆ กัน เวียดนามจะได้รับการประโคมป่าวร้องว่าเป็นผู้ปลดแอกและเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชา บทบาทของจีนในการให้การอุดหนุนค้ำจุนเขมรแดงจะถูกฉีกทิ้งจากหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ของพรรค CPP โดยที่สิ่งซึ่งจะถูกลบออกไปด้วยเช่นกัน ยังได้แก่ช่วงเวลาวาระโอกาสต่างๆ แทบทุกๆ ช่วงเวลาทีเดียว ในตอนที่ฮุนเซนยังไม่ได้มองปักกิ่งว่าเป็น “เพื่อนมิตรที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเป็นอื่น”

อย่างไรก็ดี ในแง่ของความเป็นจริงทางการทูตแล้ว เวียดนามจะกลายเป็นผู้เล่นที่ตกเป็นรอง ในเมื่อจีนมีอะไรมากมายกว่านักหนาที่จะเสนอให้แก่กัมพูชาได้ ในช่วงครบ 40 ปีหลังจากการล้มครืนของระบอบปกครองเขมรแดง ที่ครั้งหนึ่งปักกิ่งเคยค้ำจุนหนุนหลัง และฮานอยคือผู้เข้าไปโค่นล้ม


กำลังโหลดความคิดเห็น