เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ออกคำเตือนในวันอังคาร (8 ม.ค.) ว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 คงจะกลายเป็นไตรมาสแรกในรอบ 2 ปี ที่บริษัททำผลกำไรได้ลดต่ำลง นอกจากนั้นยังวาดภาพทิศทางอนาคตข้างหน้าที่ไม่สดสวย สืบเนื่องจากเผชิญการแข่งขันอย่างดุเดือดยิ่งขึ้นจากพวกผู้ผลิตสมาร์ตโฟนสัญชาติจีน ขณะที่ราคาชิปในตลาดก็กำลังตกต่ำ
คำเตือนอย่างชวนให้ช็อกของซัมซุงคราวนี้ ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยรวม หลังจาก แอปเปิล ได้ทำให้ตลาดทั่วโลกสั่นผวามาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการหั่นลดการคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัท โดยกล่าวโทษว่าเป็นเพราะยอดขายที่ย่ำแย่ในจีน ตลอดจนผลลัพธ์จากสงครามการค้า
ซัมซุง ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกทั้งในด้านโทรศัพท์สมาร์ตโฟน และด้านชิปความจำ ยังคงสามารถทำผลกำไรสูงเป็นประวัติการณ์เรื่อยมาในระยะปีหลังๆ มานี้ ถึงแม้เจอกับความลำบากเพลี่ยงพล้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการที่ต้องเรียกคืนผลิตภัณฑ์สำคัญออกจากตลาดอย่างน่าอับอาย และการที่นายใหญ่ในทางพฤตินัยของบริษัทถูกลงโทษจำคุก
ทว่าในการแถลงประมาณการผลประกอบการล่าสุด ซัมซุงระบุว่าผลกำไรจากการดำเนินงานในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค. 2018 คาดว่าจะอยู่ในราว 10.8 ล้านล้านวอน (9,800 ล้านดอลลาร์) ต่ำลง 28.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่ามติการคาดการณ์ของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 13.5 ล้านล้านวอน ทั้งนี้ตามรายงานของ FnGuide บริษัทวิจัยตลาด
ซัมซุงกล่าวคาดการณ์ว่า ในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว ยอดขายของบริษัทลดต่ำลงกว่า 10% มาอยู่ที่ 59 ล้านล้านวอน
คำแถลงของบริษัทหยิบยกเรื่อง “ดีมานด์ที่ซบเซาในธุรกิจชิปความจำ และการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นทุกทีในธุรกิจสมาร์ตโฟน” เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทิศทางอนาคตดูไม่น่าชื่นชมเช่นนี้
“รายได้ต่างๆ จากธุรกิจชิปความจำได้ตกลงมาอย่างสำคัญ … สืบเนื่องจากดีมานด์ซึ่งอ่อนแรงกว่าที่เคยคาดหมายกันไว้ ท่ามกลางการปรับตัวในด้านสินค้าคงคลัง ของพวกลูกค้าที่เป็นศูนย์กลางดาต้าเซนเตอร์” ซึ่งทำให้ราคาพวกชิปความจำหล่นลงมาอย่างรุนแรงกว่าที่เคยคาดหมายกันไว้
“เราคาดการณ์ว่ารายได้จะยังคงอ่อนตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 สืบเนื่องจากเงื่อนไขยากลำบากต่างๆ สำหรับธุรกิจชิปความจำ แต่จะกลับเข้มแข็งขึ้นได้ในระยะครึ่งหลังของปีนี้” ซัมซุงกล่าวในคำแถลง
สัญญาณเตือนภัย
อย่างไรก็ดี คิม ซุนวู นักวิเคราะห์แห่งบริษัทหลักทรัพย์เมอริตซ์ซีเคียวรีส์ มีความเห็นว่า การที่ทั้งด้านซัปพลายและด้านดีมานด์สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ยังคงย่ำแย่ลงเรื่อยๆ บวกกับการที่ธุรกิจสมาร์ตโฟนของซัมซุงต้องเผชิญกับการท้าทายต่างๆ ในเชิงโครงสร้างอยู่ในเวลานี้ จะกระทบกระเทือนผลกำไรของซัมซุงไปจนตลอดทั้งปี 2019 ทีเดียว
ดีมานด์ในชิปความจำดีแรม(DRAM) “จะลงมาถึงจุดต่ำสุดก็ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 แล้ว” เขากล่าว
ซัมซุงยังคงไม่เปิดเผยผลกำไรสุทธิของบริษัท และข้อมูลผลประกอบการของธุรกิจเป็นรายเซคเตอร์ จนกว่าบริษัทจะเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับรายได้ในขั้นสุดท้าย ซึ่งคาดกันว่าจะออกมาในช่วงต่อไปของเดือนนี้
สำหรับตลอดทั้งปี 2018 บริษัทคาดหมายว่าผลกำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 58.9 ล้านล้านวอน สูงขึ้นเกือบ 10% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านั้น ขณะที่ยอดขายขยับขึ้นเล็กน้อย 1.6% ไปอยู่ที่ 243.5 ล้านล้านวอน
ข่าวร้ายนี้ทำให้ราคาหุ้นของ ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ กิจการที่ถือเป็นเรือธงของกลุ่มซัมซุง ลดต่ำลงมา 1.68% ในช่วงปิดการซื้อขายวันอังคาร
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แอปเปิลแถลงคาดหมายว่าจะมีรายได้เป็นจำนวน 84,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2018 ต่ำกว่าที่เคยทำนายกันไว้ว่าจะทำได้ที่ 89,000 – 93,000 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทอ้างสาเหตุว่าเนื่องจาก “การผ่อนความเร็วทางเศรษฐกิจ” ในจีนและในพวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ อยู่ในสภาพที่รุนแรงกว่าที่คาดหมายกันไว้
ข่าวดังกล่าวสร้างความกระทบกระเทือนอย่างแรงต่อราคาหุ้นทั่วโลก โดยที่พวกผู้สังเกตการณ์กล่าวว่าปัญหาต่างๆ ของแอปเปิลซึ่งปกติแล้วเป็นยักษ์ใหญ่สหรัฐฯที่เชื่อมั่นได้ในเรื่องผลประกอบการ ส่อแสดงให้เห็นว่าดีมานด์ในวงกว้างทั่วโลกอยู่ในภาวะอ่อนแอ และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯก็ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวโทษเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง
สตีเฟน อินเนส ผู้อำนวยการด้านการซื้อขายในเอเชีย-แปซิฟิกของโบรกเกอร์ ONADA แจกแจงว่า ตอนที่แอปเปิลลั่นระฆังเตือนภัยเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายนั้น มีบางคนคิดว่ายอดขายซึ่งตกลงไปในจีนของบริษัท มาจากปฏิกิริยาตอบโต้ในเชิงแอนตี้แอปเปิล ในเมื่อความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังขยายตัวบานปลาย แต่จากการที่ซัมซังออกมาแถลงเช่นนี้อีก จึงกำลังเป็นการบ่งบอกให้เห็นว่า กิจการที่อิงอยู่กับการขายปลีกและอุตสาหกรรมการผลิตในวงกว้างทีเดียว กำลังอยู่ในอาการชะลอตัว
สูญเสียส่วนแบ่งตลาด
ขณะที่ซัมซุงยังคงเป็นแชมป์ในตลาดสมาร์ตโฟนของโลก ด้วยส่วนแบ่งตลาดระดับประมาณ 20% บริษัทก็กำลังเผชิญการแข่งขันอย่างดุเดือดขึ้นทุกทีจากพวกคู่แข่งสัญชาติจีนอย่างเช่น หัวเว่ย ซึ่งกำลังเสนออุปกรณ์ดีมีคุณภาพด้วยราคาที่ต่ำกว่า โดยที่ หัวเว่ย เพิ่งแซงแอปเปิล ก้าวขึ้นเป็นบริษัทครองตลาดสมาร์ตโฟนได้มากเป็นอันดับ 2 เมื่อปีที่แล้ว
“ซัมซุงกำลังสูญเสียพื้นที่ให้ หัวเว่ย, เสียวหมี่, และคู่แข่งสัญชาติจีนอื่นๆ ในพวกตลาดใหญ่มหึมาอย่างจีนและอินเดีย” นีล มาวสตัน กรรมการบริหารของบริษัทวิจัยตลาด สแทรเทจี อนาไลทิคส์ กล่าวเอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่ง
ครั้งหนึ่งซัมซุงเคยมีส่วนแบ่งตลาดถึง 20% ในจีน แต่ยอดขายของบริษัทเหลืออยู่ไม่ถึง 1% ของตลาดสมาร์ตโฟนใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เมื่อถึงไตรมาส 2 ปี 2018 และในเดือนธันวาคมก็ต้องประกาศปิดโรงงานของตนในเมืองเทียนจิน (เทียนสิน)
มีรายงานว่า ซัมซุงจะนำเอาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ๆ ในไลน์ กาแลคซี ที่เป็นอุปกรณ์มือถือเรือธงของบริษัทออกมาเปิดตัว ณ งาน เวิลด์ โมบายล์ คองเกรส (World Mobile Congress) ในเมืองบาร์เซโลนา เดือนหน้า ขณะที่บริษัทกำลังพยายามช่วงชิงฐานะนำในการแข่งขันกลับคืน ในเซกเมนต์ตลาดที่ครั้งหนึ่งซัมซุงเคยเป็นเจ้าอยู่
ซัมซุงยังมีกำหนดจะเปิดตัวสมาร์ตโฟนที่จอสามารถพับได้รุ่นแรกของโลก ภายในครึ่งแรกของปีนี้
บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลีใต้รายนี้ประสบความเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก เมื่อต้องยอมเรียกคืน กาแลคซี โน้ต 7 ออกจากตลาดทั่วโลก ภายหลังเกิดปัญหาแบตเตอรีระเบิดขึ้นมาหลายรายในปี 2016 ซึ่งทำให้ซัมซุงต้องหมดค่าใช้จ่ายไปเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาพลักษณ์แบรนด์บริษัทก็เสียหายยับ
นอกจากนั้นบริษัทยังเจอผลกระทบหนักอีกครั้งหนึ่ง หลังจาก ลี เจ-ยอง หรือที่รู้จักกันในโลกตะวันตกว่า เจ.วาย. ลี บุตรชายและทายาทของ ลี คุนฮี ประธานบริษัทที่อยู่ในสภาพล้มป่วยยืดเยื้อ ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานจ่ายสินบน
ผู้บริหารซัมซุงในทางพฤตินัยที่มีอายุ 50 ปีผู้นี้ เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในกรณีฉาวโฉ่ที่ทำให้อดีตประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย ของเกาหลีใต้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ภายหลังเกิดการประท้วงอย่างใหญ่โตทั่วประเทศ เขาถูกศาลโสมขาวตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปีในเดือนสิงหาคม 2017
แต่แล้วเขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ภายหลังศาลอุทธรณ์ยกฟ้องเขาหลายข้อหารวมทั้งลดโทษในข้อหาที่มีความผิด