รอยเตอร์ - จิม ยอง คิม ประธานธนาคารโลก ซึ่งมีปัญหากระทบกระทั่งกับนโยบายของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ประกาศในวันจันทร์(7ม.ค.) ว่าเขาจะลาออกในเดือนหน้า มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ หรือกว่า 3 ปีก่อนวาระดำรงตำแหน่งปัจจุบันของเขาจะหมดลง
นายแพทย์คิม วัย 59 ปี ได้รับการเสนอชื่อโดยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ทั้งในสมัยแรกและสมัยที่ 2 โดยเขาได้ผลักดันสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการต่างๆด้านพลังงานสีเขียวและสนับสนุนลดการลงทุนในด้านพลังงานถ่านหิน แต่หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลของทรัมป์
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับคำแถลงของคิมที่ยื่นต่อบอร์ดบริหารของเวิลด์แบงค์ ระบุว่าเขาลาออกโดยสมัครใจและไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาลทรัมป์
อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีอิทธิพลอย่างสูงในการเลือกผู้สืบทอดของคิม เนื่องจากสหรัฐฯควบคุมสิทธิ์โหวตส่วนใหญ่ในธนาคารโลก ในขณะที่ตำแหน่งประธานเวิล์ดแบงค์นี้ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วจะมาจากประเทศที่ถือหุ้นใหญ่ที่สุด ซึ่งก็ได้แก่อเมริกา
ธนาคารโลกระบุว่า คิม มีความตั้งใจเข้าร่วมกับบริษัทแห่งหนึ่งในทันที โดยบริษัทดังกล่าวมุ่งเน้นในด้านเพิ่มการลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานในเหล่าประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตามเวิลด์แบงค์ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเพิ่มเติม
คริสตาลินา จอร์เจียวา ซึ่งก้าวมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารโลกเมื่อปี 2017 จะทำหน้าที่ประธานรักษาการตอนที่ คิม ลาออกไปแล้ว ทั้งนี้ จอร์เจียวา เป็นชาวบัลแกเรียและเคยนั่งเก้าอี้ระดับสูงในสหภาพยุโรปหลายตำหน่ง หลังทำงานที่เวิลด์แบงค์ยาวนานกว่า 15 ปี เริ่มต้นจากการเป็น เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมในปี 1993
ธนาคารโลกระบุว่า คิม เน้นว่าการสนับสนุนทางการเงินต่อโครงสร้างพื้นฐานเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นที่สุดในโลกกำลังพัฒนาและได้ผลักดันธนาคารแห่งนี้ทำงานร่วมกับหุ้นส่วนภาคเอกชนในขอบข่ายใหม่ๆในด้านสาธารณูปโภคที่ฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
"ตอนนี้งานของธนาคารโลกมีความสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในฐานะแรงบันดาลใจให้คนยากจนทั่วโลกลุกขึ้นสู้ และปัญหาต่างๆอย่างเช่นภาวะโลกร้อย, โรคระบาด, ความอดอยาก และผู้ลี้ภัยยังคงเติบโตทั้งด้านขนาดและความยุ่งยากซับซ้อน" คิมระบุในถ้อยแถลง "การได้รับใช้ในฐานะประธานและช่วยวางจุดยืนของสถาบันอย่างซื่อตรงท่ามกลางความท้าทายต่างๆเหล่านี้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่" เขากล่าว