“ทำเนียบขาว” รับชัตดาวน์อาจลากยาวข้ามปี ขุนคลังมะกันถกแบงก์ยักษ์ห่วงตลาดหุ้นป่วน

เอเจนซีส์ - บรรดาสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯมุ่งหน้ากลับบ้านฉลองเทศกาลคริสต์มาส โดยปล่อยให้หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนต้องปิดทำการเพราะไม่มีงบประมาณเป็นวันที่ 3 ในวันจันทร์ (24 ธ.ค.) อันเป็นภาวะชะงักงันที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนกรานเรียกร้องให้จัดสรรเงินใช้จ่ายสำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดน ขณะที่ผู้อำนวยการงบประมาณทำเนียบขาวเตือนว่าเรื่องอาจยืดเยื้อไปจนกระทั่งคองเกรสชุดต่อไปเข้ามารับตำแหน่งต้นปีหน้า ในอีกด้านหนึ่งขุนคลังมะกันนัดพบซีอีโอ 6 แบงก์ยักษ์ รวมถึงเตรียมหารือ “ทีมอารักขาตลาดการเงิน” ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวนในตลาดวอลล์สตรีท

มิค มัลวานีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายงบประมาณและรักษาการหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์รายการฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์ว่า เป็นไปได้มากที่การยุติการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน เนื่องจากไม่มีงบประมาณนี้ อาจเยิ่นเย้อเลยวันศุกร์ (28) ไปจนกระทั่งเมื่อสมาชิกรัฐสภาชุดใหม่เข้าทำงานหลังวันหยุดช่วงปีใหม่

ถึงแม้พยายามกล่าวโทษแนนซี เปโลซี ผู้นำเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรว่า เตะถ่วงการเจรจาจนกว่าจะแน่ใจว่าตัวเองได้เป็นประธานสภาล่าง แต่มัลวานีย์ยอมรับว่า การยืนกรานเรื่องการสร้างกำแพงชายแดนติดกับเม็กซิโกเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีบทบาทสำคัญที่ทำให้รัฐบาลชัตดาวน์คราวนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้วในรอบปีนี้

ด้าน ดริว แฮมมิล โฆษกของเปโลซี ตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของมัลวานีย์ว่า สมาชิกเดโมแครตในสภาล่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการคัดค้านกำแพงชายแดนที่สิ้นเปลืองและไร้ประสิทธิภาพของทรัมป์ ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐฯ ปิดการประชุมลงเมื่อวันเสาร์ (22) โดยไม่สามารถหาช่องประนีประนอม เพื่อผ่าทางตันคราวนี้ได้

ประเด็นที่ถกเถียงกันคือ ถ้าทรัมป์ยอมผ่านงบประมาณรายจ่ายฉบับชั่วคราว ซึ่งจะทำให้การงานต่างๆ ราว 1 ใน 4 ของภาครัฐมีงบใช้จ่ายและสามารถเปิดทำการต่อไปได้นั้น จะได้รับการแลกเปลี่ยนตอบแทนด้วยการจัดสรรงบประมาณเพื่อการสร้างกำแพงชายแดนเป็นจำนวนเท่าใด

มัลวานีย์เสริมว่า ในการหารือเมื่อวันเสาร์ ทำเนียบขาวยื่นข้อเสนอกลับโดยให้ตัวเลขกึ่งกลางระหว่างข้อเสนอ1,300 ล้านดอลลาร์ของเดโมแครต กับ 5,000 ล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์ต้องการ ขณะที่เอบีซีนิวส์รายงานว่า รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ยื่นข้อเสนอที่ 2,100 ล้านดอลลาร์ แต่แล้วก็ถูกทรัมป์ปฏิเสธในนาทีสุดท้าย จึงนำไปสู่การชัตดาวน์ในที่สุด

รายงานระบุว่า งบประมาณ 1 ใน 4 สำหรับโปรแกรมต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการทำงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ยุติธรรม และเกษตร หมดลงเมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ (21) ทำให้ลูกจ้างสำคัญกว่า 400,000 คนในหน่วยงานเหล่านั้นต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนจนกว่าคณะบริหารจะตกลงกับรัฐสภาได้ และอีก 380,000 คนต้องพักงานชั่วคราว

สถานการณ์ชัตดาวน์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วอลล์สตรีทที่ปั่นป่วนอยู่แล้ว ยิ่งผันผวนหนักขึ้นไปอีก โดยที่ในเดือนนี้ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงไปแล้วเกือบ 12.5% ขณะที่แนสแด็กดิ่ง 13.6%

ขณะเดียวกัน ตลาดสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจก็ตกอยู่ใต้แรงกดดัน และมาตรวัดระดับการลงทุนของตลาดสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจบ่งชี้ผลงานเลวร้ายที่สุดนับจากวิกฤตการเงินปี 2008

ในวันอาทิตย์ (23) สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ทวิตว่า ได้ประชุมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของพวกธนาคารใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้แก่ แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้, โกลด์แมน แซคส์, เจพี มอร์แกน เชส, มอร์แกน สแตนเลย์ และเวลส์ ฟาร์โก

มนูชินสำทับว่า เหล่าซีอีโอยืนยันว่า มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการปล่อยกู้ รวมทั้งไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการชำระบัญชีหรือกำไรขั้นต้นจากการเทรดหุ้น ทั้งยังบอกอีกว่า การดำเนินการในตลาดเหมาะสมเป็นปกติ

กระทรวงคลังยังแถลงว่า ในวันจันทร์ (24) มนูชินจะหารือกับคณะทำงานรักษาตลาดการเงินที่ผู้นำสหรัฐฯแต่งตั้งขึ้นที่บางครั้งถูกขนานนามว่า “ทีมอารักขาตลาดการเงิน”

ทีมนี้เคยประชุมเมื่อปี 2009 ระหว่างเกิดวิกฤตภาคการเงินทั่วโลก โดยมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) รวมอยู่ด้วย

วอลล์สตรีทยังจับตาอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับรายงานที่ว่า ทรัมป์ปรึกษาเป็นการส่วนตัวถึงความเป็นไปได้ในการปลดเจอโรม พาวเวลล์ จากตำแหน่งประธานเฟด เนื่องจากไม่พอใจที่เฟดไม่ฟังคำทัดทานของเขา และยังคงขึ้นดอกเบี้ย ทว่า มนูชินเผยเมื่อวันเสาร์ว่า ได้รับคำยืนยันจากทรัมป์ว่า ไม่เคยส่งสัญญาณปลดพาวเวลล์

วันอาทิตย์ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลยังรายงานว่า เหล่าที่ปรึกษาทรัมป์หารือกันเมื่อหลายวันก่อนในการจัดให้ทรัมป์ได้พบปะสะสางปัญหากับพาวเวลล์เร็วๆ นี้