(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Ex-CIA director: It’s a tech war, not a trade war
By Asia Times staff
18/12/2018
สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องความไม่สมดุลทางการค้า แต่เป็นการต่อสู้ช่วงชิงกันในด้านไฮเทค โดยเฉพาะในด้านมาตรฐานทางการสื่อสารและเซมิคอนดักเตอร์ ไมเคิล มอเรลล์ ผู้เคยรักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเออยู่ 2 ช่วงเขียนเอาไว้เช่นนี้ในวอชิงตันโพสต์ โดยที่ในเรื่อง 5 จีนั้น สหรัฐฯกำลังพ่ายแพ้ถูกจีนทิ้งไปไกลแล้ว
การจับกุมผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของหัวเว่ยเมื่อเร็วๆ นี้ และการรณรงค์ของสหรัฐฯที่กำลังขยายตัวกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ เพื่อให้เหล่าพันธมิตรยุติการใช้อุปกรณ์จากบริษัทแห่งนี้ --ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก-- ทำให้การแข่งขันในระดับทั่วโลกเพื่อช่วงชิงอำนาจสูงสุดในด้านเทคโนโลยี กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งรายวันขึ้นมา
ความพยายามในขั้นสุดท้ายเช่นนี้ของสหรัฐฯ เพื่อธำรงรักษาฐานะครอบงำ –หรือกระทั่งแค่เพื่อรักษาความสำคัญของตนเอาไว้-- ในปริมณฑลไฮเทค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านมาตรฐานการสื่อสารโทรคมนาคมและเซมิคอนดักเตอร์เอาไว้นี่แหละ คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอันแท้จริงของความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องความไม่สมดุลทางการค้าหรอก
นี่คือสิ่งที่ ไมเคิล มอเรลล์ (Michael Morell) ผู้เคยรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) อยู่ 2 ครั้ง 2 ครา เขียนเอาไว้ในหน้าบทบรรณาธิการสำหรับวอชิงตันโพสต์เมื่อเร็วๆ นี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.washingtonpost.com/opinions/its-not-a-trade-war-with-china-its-a-tech-war/2018/12/14/ec20468e-ffc5-11e8-862a-b6a6f3ce8199_story.html?utm_term=.77c26615086f)
“สหรัฐฯกำลังอยู่ในสงครามเย็นด้านเทคโนโลยีกับจีน และก็เป็นสงครามเย็นที่กำลังขยายตัวบานปลายออกไปเรื่อยๆ มันไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่เรื่องภาษีศุลกากรและการค้า อย่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์มักหยิบยกขึ้นมาอ้างๆ อยู่บ่อยๆ หรอก ตรงกันข้าม มันเกี่ยวข้องทั้งกับเรื่องที่จีนใช้เทคโนโลยีเพื่อโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร และการลักขโมยเทคโนโลยีดังกล่าวด้วย” มอเรลล์บอก
และหัวเว่ย ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแง่มุมต่างๆ ทั้งหมดแล้ว กำลังอยู่นำหน้าคนอื่นๆ ในเกมการแข่งขันทางด้านการสื่อสารไร้สายรุ่นอายุที่ 5 (5G) ที่ในเวลานี้มีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดอื่น คือผู้ที่อยู่ตรงศูนย์กลางของการแข่งขันนี้
มอเรลล์อธิบายแจกแจงถึงเดิมพันที่กำลังแข่งขันช่วงชิงกันอยู่ ดังนี้:
ประการแรก … ในเครือข่ายของระบบ 5 จีนั้น จะมีข้อมูลไร้สายจำนวนมากมายมหาศาลกว่า และไหลเวียนไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ดังนั้น พวกที่สามารถควบคุมเครือข่ายเหล่านี้เอาไว้ได้ … จะเป็นผู้ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ – และพวกเขาก็จะสามารถโจรกรรมข้อมูลข่าวสารปริมาณมากมายมหาศาลในช่วงระยะเวลาที่สั้นมากๆ
ประการที่ 2 … ด้วยเหตุนี้ เครือข่าย 5 จีทั้งหลาย จึงมีความสามารถไม่เพียงแค่การทำจารกรรมล้วงความลับ แต่ยังมีความสามารถในการวินาศกรรมบ่อนทำลายอีกด้วย ผู้อำนวยการขององค์การป้องกันทางไซเบอร์ของฝ่ายทหารออสเตรเลียชี้เอาไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ระบบ 5 จี ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญทีเดียว ในเรื่องที่โครงสร้างพื้นฐานอันสำคัญยิ่งยวดอาจถูกโจมตีให้พังครืนลงไปด้วยการเข้าโจมตีทางไซเบอร์
ประการที่สาม การคัดเลือกว่าในบรรดามาตรฐานด้านระบบ 5 จีที่กำลังแข่งขันกันอยู่ จะใช้ของเจ้าไหนนั้น จะส่งผลต่อไปด้วยว่า ใครจะเป็นผู้มีความเข้าอกเข้าใจดีที่สุดกว่าใครเพื่อน ในการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ปฏิบัติงาน … ใครก็ตามที่มีความเข้าอกเข้าใจดีที่สุด ก็จะมีความได้เปรียบอย่างสำคัญทั้งในทางเศรษฐกิจ, ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์, และในด้านข่าวกรองทางสัญญาณสื่อสาร – พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะเป็นผู้ที่นำหน้าไปก่อนตั้งแต่เริ่มต้นทั้งทางเศรษฐกิจ, การปกปักรักษาความลับ, และการโจรกรรมความลับจากพวกปรปักษ์ของตน
เมื่อคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็อย่างที่การวิจัยและการวิเคราะห์อันหลากหลายมากมายเมื่อเร็วๆ นี้ได้แสดงให้เห็นนั่นแหละ มีเหตุผลอันสมควรทีเดียวที่สหรัฐฯจะต้องรู้สึกวิตกกังวล
หัวเว่ยนั้นเริ่มต้นนำหน้าไปก้าวใหญ่แล้วในการทำเครือข่าย 5จี ออกมา นอกจากนั้นแล้ว กระทั่งสมมุติว่าวอชิงตันสามารถเกลี้ยกล่อมให้พวกชาติพันธมิตรจำนวนหนึ่งเห็นดีเห็นงามกับการห้ามใช้อุปกรณ์หัวเว่ย อย่างที่สหรัฐฯดูเหมือนกำลังประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อยู่ทีเดียวในเวลานี้ ทว่านี่ก็รังแต่จะเป็นอันตรายสำหรับพวกที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกับการบอยคอตต์หัวเว่ยเท่านั้นแหละ
กลุ่มยูเรเชียกรุ๊ป (Eurasia Group) ได้จัดทำรายงานวิเคราะห์ฉบับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งให้ภาพที่มืดมนในเรื่องลู่ทางอนาคตของกลุ่มพันธมิตรที่ “กีดกันสหรัฐฯ/จีน” (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.eurasiagroup.net/live-post/the-geopolitics-of-5g)
บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ระบุว่า:
“การผลักดันเพื่อให้เกิดทางเลือก 5 จีที่ปราศจากจีนขึ้นมานั้น น่าที่จะกลายเป็นการชะลอการใช้งาน 5 จีในบางประเทศ เนื่องจากพวกซัปพลายเออร์ตัวสำรองทั้งหลายจะถูกบังคับให้ต้องลงทุนใหม่ๆ ทั้งในกำลังการผลิตของโรงงาน และในทรัพยากรมนุษย์ที่จำเป็น เพื่อเสนอเครือข่ายรุ่นอายุต่อไปที่คุ้มค่าแก่การลงทุนและที่มีขนาดใหญ่เพียงพอออกมา ดังนั้นมันก็จะยิ่งกลายเป็นการตอกย้ำความได้เปรียบของจีนในฐานะที่เป็นคนเดินหน้าคนแรก …
“ในโลกที่ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนแล้วเช่นนั้น พวกประเทศที่สามซึ่งปรารถนาที่จะเข้าถึงวงจรประเสริฐ (virtuous cycle) นี้ จะต้องเผชิญกับการเลือกอันยากลำบาก ในเรื่องที่ว่าควรจะเอาเทคโนโลยีเครือข่าย 5 จี และ application ecosystems ที่เกี่ยวข้องของเจ้าไหนมาประยุกต์ใช้ พวกรัฐบาลต่างๆ น่าที่จะถูกกดดันจากสหรัฐฯและชาติพันธมิตรให้หลีกเลี่ยงการพึ่งพาจีนในเรื่อง 5จี
“ในเวลาเดียวกันนั้น พวกประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายซึ่งมีความอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายมากกว่า จะพบว่าเทคโนโลยีของจีนและสิ่งล่อใจที่เกี่ยวข้องของจีน –ตัวอย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐานและเงินกู้เพื่อใช้ทำโครงการเป็นสิ่งที่สามารถจัดให้ได้ หากเข้าร่วมในแผนการริเริ่มแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) –เป็นสิ่งซึ่งยากที่จะตัดใจก้าวข้ามไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจีนเป็นฝ่ายนำหน้าใน technology applications ที่เกี่ยวข้อง ค่ายที่กีดกันสหรัฐฯ/จีนออกไปนั้นจะไม่ได้มีพลังริเริ่มอันสามารถเปรียบเทียบได้ ในการขยายเทคโนโลยีของตนให้มีอิทธิพลไปในระดับโลก”
เวลานี้สงครามชิงเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้นและดำเนินอยู่ จีนจะเป็นฝ่ายที่นำหน้าไปก้าวใหญ่เรียบร้อยแล้วในการพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นซึ่งใช้บนเครือข่าย 5 จี ถึงแม้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นเหล่านี้จะถูกมองเมินเพิกเฉยจากตลาดของพวกชาติพันธมิตรสหรัฐฯบางราย ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเอง กลุ่มที่ “กีดกันจีน” นี้แหละ ก็น่าที่จะถูกทอดทิ้งให้จมฝุ่นอยู่เบื้องหลัง