สหรัฐฯ สั่งแบนอุปกรณ์เสริม ‘บัมพ์สต็อก’ ดัดแปลงไรเฟิลเป็นปืนกล

เอเจนซีส์ - รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศแบนบัมพ์สต็อก (bumpstock) ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติสามารถยิงรัวกระสุนได้เป็นร้อยๆ นัดต่อนาทีเหมือนปืนกลเมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.) หลังอุปกรณ์ดังกล่าวถูกคนร้ายนำไปใช้กราดยิงผู้คนที่ลาสเวกัสเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2017

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แถลงว่า บัมพ์สต็อกเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นพานท้ายปืน อาศัยแรงดีดของปืนขณะลั่นกระสุนที่ผลักเข้าหาพานท้ายและเด้งกลับออกไป ทำให้สามารถรัวกระสุนได้ต่อเนื่อง ซึ่งเท่ากับเปลี่ยนอาวุธปืนธรรมดาๆ ให้มีประสิทธิภาพเทียบเคียงปืนกล และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย

อุปกรณ์ชนิดนี้ “ช่วยให้ผู้ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติสามารถรัวกระสุนต่อเนื่องด้วยการลั่นไกเพียงครั้งเดียว” กระทรวงระบุ

สตีเฟน แพดด็อก มือปืนที่ก่อเหตุกราดยิงคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ลาสเวกัสเมื่อปีที่แล้ว ได้นำอุปกรณ์ตัวนี้มาติดเข้ากับปืนไรเฟิลนับสิบกระบอก ก่อนจะนำไปใช้สังหารหมู่จนมีผู้เสียชีวิต 58 ราย และบาดเจ็บอีกราวๆ 500 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมจากอาวุธปืนที่ทำให้มีคนตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ยุคใหม่

บัมพ์สต็อกช่วยให้ปืนของ แพดด็อก รัวกระสุนได้ถี่ถึง 9 นัดต่อวินาที ก่อนที่เขาจะหันปากกระบอกปืนปลิดชีพตัวเองเมื่อตำรวจมาถึง

ต่อมาได้เกิดเหตุกราดยิงคนตายอีก 17 ศพที่โรงเรียนมัธยมในเมืองพาร์คแลนด์ รัฐฟลอริดา เมื่อเดือน ก.พ. ปีนี้ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันนับล้านๆ คนออกมาประท้วงเรียกร้องกฎหมายอาวุธปืนที่เข้มงวดกว่าเดิม

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศความตั้งใจที่จะแบนบัมพ์สต็อก แต่ปฏิเสธที่จะเพิ่มข้อจำกัดสำหรับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ

สมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association) ซึ่งเป็นองค์กรล็อบบี้ยิสต์ที่ทรงอิทธิพลในสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาต่อต้านกฎหมายแบนบัมพ์สต็อกอย่างเป็นจริงเป็นจังนัก ขณะที่สมาคมผู้ครอบครองปืนแห่งอเมริกา (Gun Owners of America) แถลงวานนี้ (18) ว่าจะยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านกฎระเบียบใหม่ เนื่องจากไม่เห็นด้วยที่กระทรวงยุติธรรมจะให้คำนิยามบัมพ์สต็อกเทียบเท่าปืนกล และเกรงว่าจะนำไปสู่การแบนอาวุธประเภทอื่นๆ ด้วย

ผู้ที่ครอบครองบัมพ์สต็อกจะต้องส่งมอบอุปกรณ์ตัวนี้ให้แก่ทางการ หรือไม่ก็ทำลายทิ้ง ภายใน 90 วันหลังจากคำสั่งแบนถูกประกาศในกิจจานุเบกษาของรัฐบาลกลาง (Federal Register)

แม้ครอบครัวชาวอเมริกันราว 1 ใน 3 จะมีปืนในครอบครอง แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังสนับสนุนให้รัฐออกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น เช่น การตรวจสอบประวัติผู้ที่ต้องการซื้อปืน เป็นต้น