เอเอฟพี – กลุ่มเอ็นจีโอรวมถึงกรีนพีซและออกซ์แฟมยื่นฟ้องร้องฝรั่งเศสโดยกล่าวหาว่าประเทศนี้ดำเนินการไม่มากพอในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มันออกมาหลังจากการฟ้องร้องทำนองเดียวกันจากกลุ่มเกษตรกรในเยอรมนี และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์พ่ายแพ้ในคดีประวัติศาสตร์ที่ยืนฟ้องโดยกลุ่มสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ความล้มเหลวของรัฐในกากรต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศสะท้อนให้เห็นถึงการไม่เคารพหน้าที่ปกป้องสิงแวดล้อม รวมทั้งสุภาพและความปลอดภัยของประชาชน” กลุ่มเอ็นจีโอ ระบุในถ้อยแถลงร่วมวานนี้ (17)
รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีเวลา 2 เดือนในการตอบสนองต่อการฟ้องร้องดังกล่าว
“เราต้องการการบรรเทาความเสียหายและขอให้รัฐดำเนินการทันทีในทุกระดับ” ลอรา มอนเนียร์ นักรณรงค์ของกรีนพีซ กล่าว
กลุ่มเอ็นจีโอกล่าวหาฝรั่งเศสซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มอีกครั้งในปี 2015 ว่าไม่ได้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศระยะสั้นของตัวเอง
ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งพยายามชูภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำที่ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว เพิ่งถอยมาตรการเพิ่มภาษีน้ำมันต่อต้านมลพิษ ท่ามกลางการประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองทั่วประเทศ
เมื่อเดือนตุลาคม รัฐบาลเนเธอร์แลนด์พ่ายแพ้ในการอุทธรณ์คำตัดสินที่สั่งให้รัฐลดก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2020
กลุ่มสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม Urgenda สู้คดีนี้ในนามของพลเมืองชาวเนเธอร์แลนด์ราว 900 คนที่กล่าวหารัฐบาลว่าพยายามน้อยเกินไปในการป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่อันตราย
ในเยอรมนี เกษตรกรหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากความเสียหายต่อพืชผลและฟาร์มโคนมเนื่องจากความแห้งแล้งครั้งประวัติการณ์ก็ยื่นฟ้องร้องต่อเบอร์ลินเพื่อบังคับออกมาตรการเช่นกัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากกรีนพีซ
เมื่อเดือนที่แล้ว คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel for Climate Change : IPCC) ของยูเอ็น ระบุในรายงานว่า ความร้อนกำลังจะเพิ่มขึ้น 3-4 องศาเซลเซียส และจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อเลี่ยงความโกลาหลทั่วโลก
ข้อตกลงที่ถูกบรรลุในการประชุมซัมมิทด้านสภาพอากาศของยูเอ็น COP24 เมื่อต้นเดือนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่เหมาะสมกับเป้าหมายของกลุ่มประเทศด้อยโอกาสที่สุดของโลก