รอยเตอร์ - เด็กหญิงผู้อพยพชาวกัวเตมาลาวัย 7 ขวบเสียชีวิตด้วยอาการช็อกเนื่องจากขาดน้ำอย่างรุนแรง หลังถูกนำตัวไปไว้ที่สถานกักกันแห่งหนึ่งของหน่วยป้องกันชายแดนสหรัฐฯ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานวานนี้ (13 ธ.ค.)
เด็กหญิงและพ่อของเธอถูกควบคุมตัวที่รัฐนิวเม็กซิโกเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. โดยอยู่ในกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมือง 163 คนที่ยอมเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ
ต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 7 ธ.ค. เด็กหญิงเริ่มมีอาการชักและไข้ขึ้นสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ล่าสุด สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) ยังไม่ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ในประเด็นนี้ เช่นเดียวกับโฆษกหญิงโรงพยาบาลโพรวิเดนซ์ในเมืองเอลปาโซ รัฐเทกซัส ซึ่งมีรายงานว่าเด็กหญิงถูกส่งตัวไปรักษา
ทางการสหรัฐฯ ยังไม่เปิดเผยชื่อของสองพ่อลูก แต่วอชิงตันโพสต์รายงานว่าสำนักงาน CBP ซึ่งมีหน้าที่จัดหาอาหารและน้ำดื่มให้แก่ผู้อพยพที่ถูกคุมขังกำลังสอบสวนการตายของเด็กหญิง และดูว่ามีการปฏิบัติตามนโยบายอย่างถูกต้องหรือไม่
รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิซึ่งกำกับดูแล CBP จะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมแห่งสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า ขณะที่ ส.ส.เจอร์รี แนดเลอร์ ซึ่งเป็นแกนนำเดโมแครตในคณะกรรมาธิการ ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า “เราจะเรียกร้องขอคำอธิบายโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นทันที”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยกให้การป้องกันพรมแดนเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล และให้สัญญาว่าจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนทางใต้ของของสหรัฐฯ กับเม็กซิโกเพื่อสกัดกั้นพวกหลบหนีเข้าเมือง
เมื่อช่วงฤดูร้อนปีนี้ รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” (zero tolerance) ต่อผู้อพยพผิดกฎหมาย ซึ่งนำมาสู่การจับแยกเด็กๆ ผู้อพยพออกจากพ่อแม่ที่ชายแดน
นโยบายดังกล่าวเรียกเสียงประณามรุนแรงจากทั้งในและนอกประเทศ และขณะนี้ทางการสหรัฐฯ แทบจะไม่ได้นำมาตรการจับแยกครอบครัวผู้อพยพมาใช้อีกแล้ว