xs
xsm
sm
md
lg

In Clip: ฮือฮาข้ามโลก!! “คุณแม่บราซิล” ใช้ “มดลูกคนตาย” คลอดทารกเพศหญิงสำเร็จ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอเจนซีส์ – วารสารการแพทย์ เดอะแลนเซต (The Lancet) ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยน่าทึ่งในวันอังคาร(4 ธ.ค) พบเป็นครั้งแรกที่ทีมนักวิจัยจากบราซิลประสบความสำเร็จสามารถทำที่มีการคลอดจาก “มดลูกผู้บริจาคซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว” และปลูกถ่ายให้กับหญิงชาวบราซิลวัย 32 ปีที่เกิดมาโดยไม่มีมดลูก พบทารกที่ถือกำเนิดเป็นเพศหญิงสุขภาพแข็งแรงน้ำหนักเกือบ 6 ปอนด์เมื่อแรกคลอด เกิดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค ปี 2517 และในเวลานี้ทารกน้อยกำลังใกล้ฉลองครบรอบ 2 ขวบ

CNN สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้(5 ธ.ค)ว่า กลายเป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วโลกหลังมีจากการตีพิมพ์ในวันอังคาร(5) ผลงานการวิจัยของผู้แต่งร่วม นายแพทย์ ดานี เอ็จเซนเบิร์ก(Dr. Dani Ejzenberg) ประจำมหาวิทยาลัยเซาเปาโล(University of Sao Paulo) และโรงพยาบาลดาสคลินีคาส(Hospital das Clínicas)ในบราซิล ถึงความสำเร็จในการใช้อวัยมดลูกปลูกถ่ายใช้คลอดทารกออกมาได้ โดยทารกที่ถือกำเนิดเป็นเพศหญิง มีสุขภาพแข็งแรงน้ำหนักตัวเมื่อแรกคลอดเกือบ 6 ปอนด์ และในเวลานี้ทารกรายนี้ได้เติบโตจนเกือบมีอายุได้ 2 ปีในปัจจุบัน

การวิจัยซึ่งถูกตีพิมพ์บนวารสารวิชาการทางการแพทย์ชื่อดัง เดอะแลนเซต (The Lancet) ได้เปิดเผยว่า คนไข้หญิงมีอายุราว 32 ปีในขณะเข้ารับผ่าตัดการปลูกถ่ายมดลูกเมื่อกันยายน 2016

โดยคนไข้รายนี้เกิดมาโดยที่ไม่มีมดลูก ซึ่งเธอถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม Mayer-Rokitansky-Küster-Hauser syndrome ซึ่งจะพบในสัดส่วนประชากรเพศหญิง 1 ต่อ 4,500 คน

และโรคนี้จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติที่อวัยเพศหญิงและมดลูกที่จะอยู่ในกรณีที่ไม่มีอวัยวะเหล่านี้หรือมีการพัฒนาอย่างถดถอย

CNN ชี้ว่าสำหรับคนไข้หญิงที่ได้รับการปลูกถ่ายมดลูกนั้นพบว่ามีอวัยวะเพศภายนอกที่ดูมีความปกติ รังไข่ยังคงมีการทำงานและยังคงมีไข่อยู่

นายแพทย์เวลลิงตัน อันเดราซ์( Dr. Wellington Andraus) ประจำคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเซาเปาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แต่งผลการศึกษาชิ้นนี้ และเป็นแพทย์ที่ทำการปลูกถ่ายมดลูกที่ได้มาจากผู้บริจาคหญิงซึ่งเสียชีวิตกล่าวว่า มีสัดส่วนน้อยกวา 5% ของประชากรหญิงทั่วโลกที่จะพบความผิดปกติในการมีปัจจัยจากมดลูกที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้เลยที่เรียกว่า absolute uterine factor infertility ซึ่งเป็นความผิดปกติของมดลูกที่ทำให้ขัดขวางการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์

สื่อสหรัฐฯชี้ว่า การคลอดจากอวัยมดลูกที่ได้รับการปลูกถ่ายครั้งนี้นั้นถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกเกิดขึ้นในโลกลาตินอเมริกา และยังเป็นครั้งแรกที่มีการใช้อวัยวะจากผู้บริจาคที่เสียชีวิต แต่อย่างไรก็ตามมีเด็กอย่างน้อย 1 โหลในสวีเดน สหรัฐน และเซอร์เบียนั้นเกิดมาจากหญิงที่ได้รับมดลูกจากการปลูกถ่าย โดยผู้บริจาคเป็นญาติใกล้ชิดที่ยังคงมีชีวิต

ซึ่งเจ้าของงานวิจัยชี้ว่า ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงการพิสูจน์ของแนวคิดของการรักษาในแนวทางใหม่ซึ่งจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยโรคความผิดปกติจากการมีปัจจัยจากมดลูกที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ โดยทางทีมวิจัยจากบราซิลได้เลือกศึกษาตามแนวทางทีมวิจัยแพทย์สวีเดนประจำมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก(University of Gothenburg)ในปี 2013 ที่มีนายแพทบ์มาตส์ บรานน์สตรอม( Dr. Mats Brännström) เป็นผู้นำทีม

โดยในครั้งนั้นบรานน์สตรอมประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการปลูกถ่ายมดลูกให้กับคนไข้ได้สำเร็จ โดยเป็นการปลูกถ่ายทีได้อวัยวะจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิต และคนไข้หญิงสามารถคลอดบุตรได้สำเร็จในปี 2014

แต่สำหรับคนไข้ชาวบราซิลนั้น พบว่าได้มีการทำผสมเทียมเพื่อให้ถือกำเนิดบุตรขึ้นมา CNN สหรัฐรายงาน สำหรับตัวผู้บริจาคมดลูกพบว่าเป็นหญิงในวัย 45 ปีที่ได้เสียชีวิตจากโรคสโตรก(Stroke) โดยทีมการศึกษาชี้ว่า ผู้บริจาครายนี้มีคุณสมบัติที่ดีจากการที่เมื่อครั้งยังมีชีวิต เธอได้ทำการคลอดบุตรผ่านทางช่องคลอดปกติถึง 3 ครั้ง รวมไปถึงไม่ปรากฎการมีโรคติดต่อทางความสัมพันธ์ และมีกลุ่มเลือดกรุ๊ปโอบวกซึ่งตรงกันกับของคนไข้ชาวบราซิลวัย 32 ปี

กระบวนการปลูกถ่ายมดลูกซึ่งเกิดขึ้นในปี 2016 นั้นใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่า 10 ช.ม และหลังจากการผ่าตัดคนไข้ยังคงต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลต่อนาน 8 วัน และ 5 เดือนหลังการได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้เสียชีวิต คนไข้หญิงไม่แสดงอาการปรากฎการปฎิเสธอวัยวะ และยังเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก และผลอัลตราซาวด์ชี้ว่า ไม่พบความผิดปกติใดๆ

และ 7 เดือนหลังจากนั้นทีมแพทย์ได้เริ่มกระบวนการเด็กหลอดแก้ว โดยการฝังไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเข้าไปในมดลูก และอีก 10 วันหลังจากนั้นมีผลการยืนยันถึงการตั้งครรภ์ออกมา และผลอัตราซาวด์ไม่แสดงความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์

พบว่าคนไข้หญิงเข้ารับผ่าตัดคลอดในวันที่ 15 ธ.ค 2017 และได้ทารกเพศหญิงน้ำหนักตัวเกือบ 6 ปอนด์อยู่ในสภาพแข็งแรง ที่ 35 สัปดาห์และ 3 วัน ซึ่งถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด โดยทาง 2 ผู้แต่ง เอ็ซเซนเบิร์กและอันเดราซ์กล่าวว่า ทีมบรานน์สตรอมได้แนะนำให้ทำการคลอดในระหว่างระยะครรภ์ 34 – 36 สัปดาห์เนื่องมาจากความเสี่ยงของข้อจำกัดการเติบโตของตัวอ่อนเนื่องมาจากรักษาด้วยวิธีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive )

สื่อสหรัฐฯชี้ว่า ในการคลอดของคนไข้หญิงบราซิลรายนี้ไม่ธรรมดา เพราะเธอต้องผ่าตัดนำมดลูกเทียมที่ถูกปลูกถ่ายออกไปจากร่างกายเพื่อที่เธอจะสามารถหยุดการใช้ยาสำหรับการรักษาด้วยวิธีการกดภูมิคุ้มกัน และอวัยวะมดลูกปลูกถ่ายไม่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของการไม่ยอมรับ แต่มีการเปลี่ยนแปลงตามปกติระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น ซึ่งทั้งคนไข้หญิงชาวบราซิลซึ่งเป็นคุณแม่มือใหม่ในวัย 33 ปีได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมลูกน้อยในอีก 3 วันจากนั้น

และเด็กทารกที่ถือกำเนิดมีอายุได้ราว 7 เดือน 20 วันในขณะที่งานวิจัยกำลังถูกเขียนขึ้น พบว่าทารกหญิงยังคงได้รับนมจากมารดาผ่านเต้าตามปกติ และมีน้ำหนักเกือบ 16 ปอนด์

นักวิจัยจากบราซิลชี้ว่า ในเวลานี้เด็กทารกได้เติบโตขึ้นและใกล้ที่จะฉลองอายุครบ 2 ขวบในไม่ช้า และทั้งแม่และเด็กไมมีการแสดงอาการความผิดปกติให้เห็นออกมา

CNN ได้ชี้ถึงความมหัสจรรย์ของการค้นพบครั้งนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญประจำมหาวิทยาลัยคิงคอลลเลจของอังกฤษ ศาสตราจาย์ แอนดรูว์ เชนแนน( Andrew Shennan)ได้ให้สัมภาษณ์กับศูนย์วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ว่า ***การตั้งครรภ์ยังคงสามารถเกิดขึ้นมาได้ถึงแม้วาอวัยวะมดลูกจะไม่ได้รับออกซิเจนมานานกว่า 8 ช.มก่อนการผ่าตัดปลูกถ่าย*** และในความเป็นจริงแล้ว การศึกษาชิ้นนี้ทำให้พวกเราได้รู้ว่า อวัยวะยังคงสามารถทำงานอยู่ได้ถึงแม้จะอยู่ในสภาพเย็น ภายใต้การเก็บรักษาที่ไม่มีออกซิเจนอย่างน้อยถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับระยะเวลาโดยเฉลี่ยจากอวัยวะของผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิต ซึ่งนานเกือบ 8 ชั่วโมงเมือเทียบกับระยะเวลาน้อยกว่า 2 ช.มในกรณีหลัง

และทำให้มีการเปิดประตูไปสู่การรับบริจาคอวัยวะมดลูกจากผู้เสียชีวิต แทนที่จะรอการบริจาคจากผู้บริจาคที่ยังคงมีชีวิต CNN รายงาน




กำลังโหลดความคิดเห็น