เอเอฟพี - ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากการจลาจล ที่ถือเป็นเหตุรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นร้อยคนทั่วประเทศ และสร้างความเสียหายกว้างขวางในกรุงปารีส ขณะที่นายกรัฐมนตรีเมืองน้ำหอมหารือผู้นำพรรคต่างๆ เมื่อวันจันทร์ (3 ธ.ค.) เพื่อหาทางรับมือความรุนแรงจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเช่นนี้ซึ่งยังไม่มีทีท่าจะเลิกรา
การหารือดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมที่มีมาครง เป็นประธานในวันอาทิตย์ (2) ซึ่งมีข้อสรุปให้นายกรัฐมนตรีเอดูอาร์ ฟิลลิป นัดพบแกนนำการประท้วงเพื่อหาทางเจรจายุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ หลังจากที่การพบปะระหว่างฟรังซัวส์ เดอ รูกี รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม กับตัวแทนผู้ประท้วงที่มีชื่อเรียกขานกันว่า “กลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง” เมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่สามารถโน้มน้าวให้ยุติการประท้วงที่ดำเนินมาล่วงเข้าสัปดาห์ที่สาม
รัฐบาลยังไม่ตัดความเป็นไปได้ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อจัดการกับการประท้วงที่เริ่มต้นจากความไม่พอใจการขึ้นภาษีเชื้อเพลิง และลุกลามกลายเป็นการต่อต้านมาครง ผู้นำที่มีแนวทางสายกลางและสนับสนุนภาคธุรกิจที่ได้รับเลือกตั้งมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2017
วันอาทิตย์ มาครงออกสำรวจความเสียหายบริเวณประตูชัยของกรุงปารีส ที่ผู้ประท้วงพ่นสีเปรอะเปื้อน แถมรื้อทำลายบริเวณขายตั๋วและโถงต้อนรับ รวมถึงประติมากรรมที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่สร้างขึ้นใหม่จากประติมากรรมจำหลักนูนสูง “ลา มาร์เซแยส” ของฟรังซัวส์ รูด
มาครงยังพบซากรถถูกเผาและอาคารมากมายในสถานที่อื่นๆ ได้รับความเสียหาย ผู้นำฝรั่งเศสประกาศว่า จะไม่ยอมให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ขึ้นอีก
ตำรวจปารีสเผยว่า มีผู้ถูกจับกุม 412 คนในวันเสาร์ที่เกิดเหตุปะทะรุนแรงที่สุดในเมืองหลวงฝรั่งเศสแห่งนี้ในรอบหลายปี โดย 378 คนยังคงถูกควบคุมตัวอยู่
มิเชล เดลปูเอห์ ผู้บัญชาการตำรวจปารีส กล่าวว่า การจลาจลเมื่อวันเสาร์รุนแรงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบหลายสิบปี โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 263 คนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึง 133 คนในปารีส และ 23 คนในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของกองกำลังความมั่นคง
นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับการประท้วงรวม 3 คน และมีการจุดไฟเผาทำลายเกือบ 190 จุด รวมถึงอาคาร 6 แห่ง
ชุมชนธุรกิจของฝรั่งเศสกังวลอย่างมากกับเหตุรุนแรงนี้ โดยระบุว่า บริษัทห้างร้านต่างๆ สูญเสียเงินหลายพันล้านยูโร และตัวแทนจากธุรกิจต่างๆ เตรียมเข้าพบรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันจันทร์
กระทรวงมหาดไทยแถลงว่า มีประชาชนราว 136,000 คนชุมนุมประท้วงทั่วประเทศเมื่อวันเสาร์ ส่วนใหญ่เป็นการชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งนอกจากลดลงจากตัวเลขในตอนแรกแรกที่ 166,000 คนแล้ว ยังต่ำกว่าจำนวนผู้ประท้วงในวันแรกคือวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่มีคนร่วมชุมนุมถึงราว 282,000 คน
คริสตอฟ แคสเทเนอร์ รัฐมนตรีมหาดไทย กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือ “ผู้เชี่ยวชาญการทำลาย” และสำทับว่า พร้อมพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ในการรับมือวิกฤตซึ่งรวมถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่สหภาพตำรวจเรียกร้อง
ขณะนี้ มาครงกำลังเผชิญสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อเพราะนอกจากกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองจะเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวรากหญ้าที่ไม่มีผู้นำอย่างเป็นทางการแล้ว ข้อเรียกร้องที่ประกาศออกมายังมีมากมายหลายด้าน
อย่างไรก็ตาม เบนจามิน กริโวซ์ โฆษกรัฐบาลประกาศชัดเจนเมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า รัฐบาลพร้อมเจรจาแต่จะไม่ยอมเปลี่ยนนโยบายเด็ดขาด
ขณะที่แจ็กเกอลีน มูโรด์ หนึ่งในผู้ยุยงผ่านโซเชียลมีเดีย ให้สัมภาษณ์ว่า การยกเลิกภาษีเชื้อเพลิงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นก่อนที่กลุ่มผู้ประท้วงจะยอมเจรจากับรัฐบาล
ทว่า มาครงยืนกรานว่า ภาษีดังกล่าวจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ระบบเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซพิษ