รอยเตอร์ - รัฐบาลอิหร่านประกาศวานนี้ (2 ธ.ค.) ว่าจะเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการป้องกันประเทศ ยืนยันไม่ได้ละเมิดคำสั่งยูเอ็น หลังสหรัฐฯ ออกมาแฉว่าเตหะรานยิงทดสอบขีปนาวุธรุ่นใหม่ซึ่งติดตั้งหัวรบได้พร้อมกันหลายหัว
ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันเสาร์ (1) ว่า การทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางของอิหร่านนั้นเข้าข่ายละเมิดข้อตกลงนานาชาติปี 2015 ว่าด้วยการจำกัดกิจกรรมนิวเคลียร์ของเตหะราน ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำวอชิงตันถอนตัวออกมาเมื่อเดือน พ.ค.
สำนักข่าวตัสนีมซึ่งเป็นสื่อกึ่งทางทหารของอิหร่านได้อ้างคำพูดของพลจัตวา อาโบลฟาซี เชการ์ชี โฆษกกองทัพ ซึ่งยืนยันว่า “การทดสอบขีปนาวุธมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันประเทศและป้องปรามศัตรู เราจะยังคงทำสิ่งเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ”
เชการ์ชี ย้ำว่า อิหร่านจะพัฒนาและยิงทดสอบขีปนาวุธต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือกรอบการเจรจา และเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติซึ่งอิหร่าน “ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากประเทศใด”
อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการยิงทดสอบขีปนาวุธรุ่นใหม่
ก่อนหน้านั้น จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความว่า “อิหร่านเพิ่งจะยิงทดสอบขีปนาวุธที่สามารถไปถึงทั้งอิสราเอลและยุโรป พฤติกรรมยั่วยุเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
บาห์รัม กอเซมี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ออกมาแถลงย้ำเช่นกันว่า มิสไซล์ของอิหร่านมีไว้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น และ “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่เคยมีมติห้ามการพัฒนาหรือทดสอบขีปนาวุธโดยอิหร่าน"
คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้มีมติที่ 2231 รับรองข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ที่อิหร่านทำร่วมกับกลุ่มมหาอำนาจ P5+1 ซึ่งได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย และเยอรมนี โดยข้อตกลงฉบับนี้กำหนดให้เตหะรานลดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม เพื่อแลกกับการผ่อนปรนบทลงโทษทางเศรษฐกิจจากนานาชาติ
มติของคณะมนตรียูเอ็น “เรียกร้อง” ให้อิหร่านยับยั้งการพัฒนาขีปนาวุธที่สามารถส่งหัวรบนิวเคลียร์ได้เป็นเวลา 8 ปี
รัฐบาลอิหร่านประกาศย้ำเรื่อยมาว่าโครงการขีปนาวุธมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันตนเอง และยืนยันว่าไม่ได้ผลิตขีปนาวุธที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ หรือมีเจตนาเสริมสมรรถนะยูเรเนียมเพื่อให้ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
ทรัมป์ ประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ซึ่งเป็นผลงานการทูตชิ้นโบแดงของ บารัค โอบามา และรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง โดยอ้างว่าข้อตกลงฉบับนี้มีจุดอ่อนหลายอย่าง เช่น ไม่ปิดกั้นโครงการขีปนาวุธอิหร่าน และยังปล่อยให้เตหะรานเข้าไปทำ 'สงครามตัวแทน' โดยการหนุนหลังกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย เยเมน เลบานอน และอิรัก
โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ได้ทวีตข้อความแขวะสหรัฐฯ ว่าใช้คติเหนือจริง (surrealism) มาเป็นแนวทางปฏิบัติด้านการต่างประเทศ พร้อมชี้ว่าวอชิงตันเองเป็นฝ่ายละเมิดมติ 2231 ของยูเอ็น แต่กลับกล่าวโทษอิหร่าน และยกมาตรการคว่ำบาตรมาขู่ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ต้องการฝ่าฝืนมติดังกล่าว
ซารีฟ ยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ‘ติดอาวุธ’ ให้แก่พวกนักรบที่ทำสงครามต่อต้านกองทัพซีเรียและกบฎฮูตีนิกายชีอะห์ในเยเมนซึ่งเป็นมิตรกับอิหร่าน
“สหรัฐฯ กำลังเพิ่มพูนอาวุธที่ทันสมัยให้แก่กลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงอัลกออิดะห์และกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)” ซารีฟ ทวีตข้อความ โดยอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับหนึ่งที่ระบุว่า อาวุธจากอังกฤษและสหรัฐฯ จำนวนมากไปตกอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธซึ่งต่อสู้ในสงครามเยเมน