เอเอฟพี - สื่อรัฐบาลจีนชี้ความพยายามแบ่งแยกไต้หวันออกเป็นประเทศเอกราชคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคของประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อวันเสาร์ (24 พ.ย.) พร้อมแนะให้ ไช่ กลับตัวกลับใจหันมาเป็นมิตรกับแผ่นดินใหญ่
ไช่ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party - DPP) ทันที เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความปราชัยครั้งใหญ่ของพรรคในศึกเลือกตั้งท้องถิ่นซึ่งจัดขึ้นทั่วเกาะ
พรรคฝ่ายค้านก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเคยกุมอำนาจปกครองไต้หวันและมีความสัมพันธ์อันดีกับจีนก่อนที่ ไช่ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 สามารถช่วงชิงหรือยังคงรักษาอำนาจควบคุมเมืองใหญ่ๆ และเทศมณฑลต่างๆ เอาไว้ได้รวม 15 แห่ง เหลือให้พรรค DPP เพียงแค่ 6 แห่งเท่านั้น
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีฉบับวันนี้ (26) ระบุว่า ชาวไต้หวันไม่พอใจที่รัฐบาล ไช่ ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซบเซา และมีนโยบายที่เป็นการ “เพิกเฉยต่อผลประโยชน์ของคนหลายกลุ่ม”
“จุดยืนสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของรัฐบาล ไช่ ไม่เพียงบั่นทอนความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่ยังทำให้ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบชิงชังพรรคของเธอด้วย” ไชน่าเดลี ระบุ
“ผลการเลือกตั้งครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาล ไช่ ทรยศต่อผลประโยชน์ของไต้หวัน และกลายเป็นตัวสร้างปัญหาซึ่งทำในสิ่งที่ห่างไกลจากความต้องการที่แท้จริงของชาวไต้หวัน และปฏิเสธความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าจีนนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว”
ไชน่าเดลียังคาดการณ์ด้วยว่า หลังจากนี้การติดต่อและความร่วมมือข้ามช่องแคบระหว่างรัฐบาลน่าจะค่อยๆ มีมากขึ้นเป็นลำดับ
พรรค DPP นั้นมีจุดยืนสนับสนุนให้ไต้หวันเป็นเอกราชมาแต่ไหนแต่ไร และ ไช่ ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนเดียว (One China) ซึ่งต่างกับอดีตประธานาธิบดี หม่า อิงจิ่ว ของพรรคก๊กมินตั๋งที่มีท่าทีรอมชอมกับปักกิ่งมากกว่า
รัฐบาลจีนลงโทษ ไช่ และพรรค DPP ด้วยการเปิดฉากซ้อมรบในช่องแคบไต้หวันบ่อยขึ้น และยังใช้เงินทุนหลอกล่อให้ประเทศต่างๆ ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไทเป รวมถึงกดดันบริษัทต่างชาติและสายการบินให้แก้ไขข้อมูลบนเว็บไซต์เพื่อระบุว่าไต้หวันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจีน
ด้านหนังสือพิมพ์โกลบัลไทม์สระบุว่า "ความคิดสุดโต่งและความหวาดระแวงที่แผ่ซ่านอยู่ในค่ายการเมืองสีเขียวทำให้พรรค DPP หลงผิด... พวกเขาควรศึกษาบทเรียนจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ และเปลี่ยนแปลงจุดยืนในเรื่องความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ”
