(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
The new global tinderbox: It’s not your mother’s Cold War
By Michael Klare
31/10/2018
ความเคลื่อนไหวในช่วงไม่นานมานี้ของ โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งอเมริกา, วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย, และ สี จิ้นผิง แห่งจีน ทำให้มีเสียงพูดกันกระหึ่มว่า โลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็นครั้งใหม่ แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นหรอก สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ภาพจำลองของสงครามเย็นเมื่อศตวรรษที่แล้วโดยเพียงมีการอัปเดตให้ทันสมัยขึ้นเล็กๆ น้อยๆ หากแต่เป็นสถานการณ์อันหนักหนาสาหัสระดับโลกซึ่งทั้งใหม่และทั้งทำท่าจะมีอันตายยิ่งกว่ามากมายนัก
เมื่อต้องว่ากันถึงความสัมพันธ์ระหว่าง อเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์, รัสเซียของวลาดิมีร์ ปูติน, และจีนของสี จิ้นผิง บรรดาผู้สังเกตการณ์ในทุกหนทุกแห่งต่างกำลังเริ่มต้นพูดถึงการหวนย้อนกลับไปสู่อดีตที่แสนคุ้นเคยซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ
“เวลานี้เรากำลังเกิดสงครามเย็นครั้งใหม่” เป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรัสเซีย ปีเตอร์ เฟลกันฮาวเออร์ (Peter Felgenhauer) ในกรุงมอสโก หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ถึงแผนการที่จะถอนตัวออกจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty หรือ INF) [1] ส่วนนักประวัติศาสตร์ วอลเตอร์ รัสเซลล์ มีด (Walter Russell Mead) เขียนใน วอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า คณะบริหารทรัมป์ “กำลังเปิดฉากสงครามเย็นครั้งใหม่” หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้อนุมัติรับรองมาตรการต่อต้านจีนชุดหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา [2] นอกจากนี้แล้วยังมีคนอื่นๆ อีกมากมายทีเดียวซึ่งกำลังส่งเสียงสอดแทรกเข้ามาในทำนองเดียวกัน [3]
การขยับก้าวเดินเมื่อเร็วๆ นี้ของผู้นำในวอชิงตัน, มอสโก, และปักกิ่ง อาจดูเหมือนสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่การพูดถึง “สงครามเย็นครั้งใหม่” เช่นนี้ ทว่าสำหรับสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นในปัจจุบัน เราคงต้องบอกว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้ให้คำชี้แนะใดๆ แก่เราเลย ณ ปี 2018 หรือเมื่อศตวรรษที่ 21 ผันผ่านพ้นไปเกือบๆ 2 ทศวรรษ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ภาพจำลองของสงครามเย็นเมื่อศตวรรษที่แล้วโดยเพียงมีการอัปเดตให้ทันสมัยขึ้นมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ หากแต่เป็นสถานการณ์ยากลำบากระดับโลกซึ่งทั้งใหม่และทั้งทำท่าจะมีอันตรายยิ่งกว่ามากมายนัก
สงครามเย็นครั้งดั้งเดิม ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1940 จวบจนกระทั่งการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ทำท่าจะมีอันตรายอย่างใหญ่หลวงจากความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์และการทำลายล้างผลาญด้วยเทอร์โมนิวเคลียร์ กระนั้นก็ตามที อย่างน้อยที่สุดภายหลังจากวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาปี 1962 [4] แล้ว สถานการณ์กลับดูมีเสถียรภาพอย่างน่าเตะตา โดยถึงแม้มีการสู้รบขัดแย้งกันในระดับท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ มากมายหลายหลาก แต่ทั้งสหรัฐฯและสหภาพโซเวียตต่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากันโดยตรงชนิดซึ่งอาจจุดชนวนให้เกิดความวิบัติหายนะกันทั้งคู่
ในความเป็นจริง ภายหลังที่เผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้ายและมีความเสี่ยงอย่างยิ่งยวดเมื่อปี 1962 [5] แล้ว พวกผู้นำของอภิมหาอำนาจทั้งสองก็มีปฏิสัมพันธ์กันในรูปของการเจรจาต่อรองกันอย่างต่อเนื่องยืดยาวและแสนจะสลับซับซ้อน กระทั่งสามารถนำไปสู่การลดทอนคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของพวกเขาลงมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งมีการทำข้อตกลงหลายฉบับ [6] ซึ่งมุ่งหมายที่จะลดทอนความเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์โลกาวินาศขึ้นมาในอนาคต
สิ่งที่คนอื่นๆ ในเวลานี้กำลังเรียกขานกันว่า “สงครามเย็นครั้งใหม่” (แต่ผมชื่นชอบที่จะคิดว่าเป็นกล่องไม้ขีดไวไฟระดับโลกกล่องใหม่ซึ่งติดไฟง่ายเหลือเกินมากกว่า) มีความละม้ายคล้ายคลึงน้อยเหลือเกินกับสิ่งซึ่งเกิดขึ้นมาในยุคสมัยก่อนหน้านี้
เหมือนกับที่เคยเป็นอยู่เมื่อหลายสิบปีก่อน เวลานี้สหรัฐฯกับพวกคู่แข่งอย่างรัสเซียและจีน ต่างกำลังสาละวนอยู่กับการชิงดีชิงเด่นสะสมอาวุธแบบเร่งตัวรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยโฟกัสที่การทำให้อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธ “ตามแบบแผน” (conventional) ของพวกเขา มีคุณสมบัติทางด้านพิสัยทำการ, ความแม่นยำ, และอานุภาพการทำลาย สูงขึ้นทุกที ทั้ง 3 ประเทศยังต่างมีการจับกลุ่มรวมตัวเป็นพันธมิตรประเภทต่างๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น จนทำให้แลดูเหมือนกับเกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันในระดับโลกมากขึ้นๆ
ทว่าความละม้ายคล้ายคลึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แหละ ขณะที่ในเรื่องของความผิดแผกแตกต่างนั้นมีอยู่อย่างมากมายมหาศาล ความแตกต่างประการแรกสุด เป็นสิ่งซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าอะไรอื่น ได้แก่ การที่เวลานี้สหรัฐฯเผชิญกับคู่ปรปักษ์ผู้เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นถึง 2 ราย ไม่ใช่เพียงแค่รายเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ภูมิหลังของโลกในปัจจุบันยังกำลังมีการสู้รบขัดแย้งกันอย่างสลับซับซ้อนมากมายกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน (และนี่ย่อมหมายความด้วยว่า มีจุดร้อนที่อาจปะทุติดไฟทางนิวเคลียร์ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเช่นกัน) ในเวลาเดียวกันนั้น พรมแดนเส้นแบ่งแบบเก่าๆ ระหว่าง “สันติภาพ” กับ “สงคราม” ก็กำลังลบเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคู่แข่งขันทั้ง 3 รายต่างเข้าพัวพันกับการประลองชิงดีชิงเด่นกันในด้านอื่นๆ ซึ่งสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการสู้รบหักล้างอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน เพียงแต่ด้วยเครื่องมือประเภทอื่นๆ เป็นต้นว่า สงครามการค้า และการโจมตีทางไซเบอร์ โดยที่การต่อสู้เหล่านี้ยังอาจจะกลายเป็นการแผ้วถางจัดตั้งเวทีสำหรับความรุนแรงสุดใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่านั้นที่จะติดตามมา
สิ่งที่เข้ามาผสมโรงกับภัยอันตรายเช่นนี้ก็คือ มหาอำนาจใหญ่ทั้ง 3 รายเวลานี้ต่างกำลังเข้าเกี่ยวข้องแสดงพฤติการณ์ยั่วยุต่างๆ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อ “สาธิตให้เห็นความมุ่งมั่นแน่แน่ว” ของตนเอง หรือเพื่อเป็นการคุกคามข่มขวัญบรรดาปรปักษ์ เป็นต้นว่า การที่เรือรบของสหรัฐฯและเรือรบของจีนแล่นไล่เฉียดกันอย่างน่ากลัวอันตรายยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ บริเวณน่านน้ำนอกหมู่เกาะที่ฝ่ายจีนครอบครองอยู่ในทะเลจีนใต้ [7]
พร้อมกันนั้น แทนที่จะเสาะแสวงหาทางทำพวกข้อตกลงประเภทควบคุมอาวุธซึ่งเป็นเครื่องบรรเทาความเป็นศัตรูมุ่งร้ายกันในยุคสงครามเย็น ขณะนี้สหรัฐฯกับรัสเซียดูเหมือนมีเจตนาที่จะฉีกทิ้งสัญญาฉบับต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน และเปิดฉากการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ขึ้นมา [8]
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ย่อมสามารถที่จะนำพาโลกให้เคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ สถานการณ์อันตรายร้ายแรงยิ่งครั้งใหม่แบบวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เมื่อตอนที่โลกของเราอยู่ห่างเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปดที่จะถลำเข้าสู่การถูกเผาผลาญเป็นจุลด้วยสงครามนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม สำหรับวิกฤตการณ์ครั้งใหม่นี้ อาจจะเริ่มต้นขึ้นในทะเลจีนใต้ หรือกระทั่งในภูมิภาคบอลติก ซึ่งเครื่องบินกับเรือรบของสหรัฐฯและของรัสเซียกำลังมีปฏิสัมพันธ์กันในลักษณะจวนเจียนจะเกิดการชนปะทะกันอยู่เป็นประจำเช่นเดียวกัน
ทำไมภัยอันตรายดังกล่าวเหล่านี้จึงกำลังเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว? ในการตอบคำถามนี้ ให้ได้ดี ควรที่เราจะทำการสำรวจพวกปัจจัยต่างๆ ซึ่งแบ่งแยกขณะปัจจุบันนี้ออกจากยุคสงครามเย็นดั้งเดิม
โลกของเราเวลานี้กลายเป็นโลกที่มี 3 ขั้วอำนาจไปแล้ว
ในสงครามเย็นดั้งเดิมนั้น การต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันในแบบ 2 ขั้วอำนาจ คือระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน (อภิมหาอำนาจ 2 รายสุดท้ายที่เหลืออยู่บนพื้นพิภพนามว่าโลก หลังจากมีการแข่งขันช่วงชิงกันระหว่างเหล่าจักรวรรดิซึ่งเป็นศัตรูกันรายแล้วรายเล่ามาเป็นเวลาหลายศตวรรษ) ดูเหมือนจะกลายเป็นตัวตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งบังเกิดขึ้นบนเวทีระดับโลก แน่นอนทีเดียว สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดอันตรายอันใหญ่หลวงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็สามารถทำให้ประดาผู้นำของแต่ละฝ่ายยอมรับรู้เกิดความเข้าใจร่วมกันขึ้นมาว่า มีความจำเป็นที่จะต้องยับยั้งชั่งใจในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันแห่งการที่แต่ละฝ่ายยังคงสามารถอยู่รอดต่อไปได้
โลกสองขั้วอำนาจแห่งสงครามเย็นนี้ได้ปิดฉากลงไป ด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สิ่งที่ติดตามมาก็คือสิ่งซึ่งพวกผู้สังเกตการณ์จำนวนมากเห็นว่าเป็น “ช่วงขณะแห่งโลกที่มีขั้วอำนาจหนึ่งเดียว” [9] ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯผู้เป็น “อภิมหาอำนาจรายสุดท้าย” เข้าครอบงำเวทีโลก ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวนี้ ซึ่งครอบคลุมเวลาตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ไปจนถึงการที่รัสเซียเข้าผนวกดินแดนแหลมไครเมียในปี 2014 ส่วนใหญ่แล้ววอชิงตันคือผู้กำหนดวาระของโลก และเมื่อเกิดมีผู้ท้าทายรายเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา (อย่างเช่น ซัดดัม ฮุสเซน แห่งอิรัก) วอชิงตันก็จะระดมแสนยานุภาพทางทหารชนิดเหนือล้ำกว่าอย่างล้นพ้น หมายเข้าบดขยี้พวกเขาให้แหลกลาญ
อย่างไรก็ดี การที่ต้องทำศึกติดพันอยู่กับต่างประเทศเช่นนี้ ทำให้สหรัฐฯสิ้นเปลืองเงินทองค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล [10] อีกทั้งยังผูกมัดกองทหารอเมริกันให้ติดตรึงอยู่ในสงครามที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างเด่นชัดในหลายๆ สมรภูมิ ตลอดทั่วทั้งซีกโลกอันกว้างใหญ่ของพื้นพิภพนี้ ขณะเดียวกันนั้นเอง มอสโกกับปักกิ่ง ซึ่งไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเท่าวอชิงตันแต่ก็ไม่ได้มีภาระระเกะระเกะเหมือนอเมริกา กลับสามารถที่จะเริ่มต้นการลงทุนของพวกเขาเองในการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และในการแผ่อิทธิพลบารมีทางภูมิรัฐศาสตร์
ทุกวันนี้ “ช่วงขณะแห่งโลกที่มีขั้วอำนาจหนึ่งเดียว” ได้ผ่านพ้นอันตรธานไปแล้ว และเรากำลังอยู่ในสิ่งซึ่งเพียงสามารถบรรยายได้ด้วยวลีว่า “โลกที่มี 3 ขั้วอำนาจ” ” [11] คู่แข่งขันทั้ง 3 รายต่างเป็นเจ้าของสถาบันทางทหารและแสนยานุภาพทางทหารอันใหญ่โตมหึมายิ่ง โดยมีขบวนแถวอาวุธอุ่นหนาฝั่งทั้งอาวุธตามแบบแผนและอาวุธนิวเคลียร์ จีนกับรัสเซียตอนนี้สามารถเข้าร่วมเทียบชั้นกับสหรัฐฯแล้ว ในการแผ่ขยายอิทธิพลบารมีของพวกเขาให้เลยไกลออกไปจากเส้นพรมแดนของพวกเขาทั้งในทางการทูต, ทางเศรษฐกิจ, และทางการทหาร ถึงแม้จะยังอยู่ในขนาดขอบเขตที่ด้อยกว่าอยู่มากก็ตามที สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเสียอีกก็คือ ปรปักษ์ทั้ง 3 เหล่านี้ทุกๆ รายต่างนำโดยผู้นำซึ่งมีลักษณะชาตินิยมอย่างสูง แต่ละคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลักดันขยายผลประโยชน์ของประเทศของพวกเขาให้ครอบคลุมกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ
โลกที่มี 3 ขั้วอำนาจนั้น โดยคำนิยามจำกัดความก็ย่อมมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากโลกที่มี 2 ขั้วอำนาจ หรือโลกที่มีขั้วอำนาจเดียวอยู่แล้ว ไม่เพียงเท่านั้นมันยังถูกมองว่าเป็นโลกที่มีความบาดหมางไม่ลงรอยกันยิ่งกว่านักหนา [12] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเวลานี้วอชิงตันของโดนัลด์ ทรัมป์ ประเดี๋ยวก็แสดงพฤติการณ์ที่อาจยั่วยุให้กลายเป็นวิกฤตขึ้นมากับมอสโก แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งก็แสดงกับปักกิ่งบ้าง โดยที่ไม่ปรากฏเหตุผลอะไรอันเด่นชัด
ยิ่งไปกว่านั้น โลกที่มี 3 ขั้วอำนาจยังน่าที่จะมีจุดร้อนที่อาจปะทุเดือดขึ้นมาได้ในจำนวนที่มากมายยิ่งกว่าโลกที่มี 2 ขั้วอำนาจ หรือมีขั้วอำนาจเดียว ทั้งนี้ระหว่างยุคสงครามเย็นตลอดทั้งยุค มีเส้นแนวแห่งการเผชิญหน้าซึ่งสำคัญยิ่งยวดระหว่างมหาอำนาจใหญ่ทั้ง 2 อยู่เส้นหนึ่ง อันได้แก่ แนวพรมแดนติดต่อกันในยุโรประหว่างพวกชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization หรือ นาโต้) กับบรรดาประเทศสมาชิกกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) การปะทุลุกไหม้ใดๆ ตามแนวเส้นแห่งการเผชิญหน้านี้ อาจจุดชนวนให้ทั้งสองฝ่ายต้องมีการใช้กำลังทหารขนาดใหญ่ตามพันธะผูกพันของพวกตน ซึ่งย่อมเป็นไปได้อย่างมากที่จะเกิดการใช้อาวุธประเภทที่เรียกกันว่า อาวุธปรมาณูระดับยุทธวิธี หรือระดับยุทธบริเวณ (tactical or theater atomic weapons) และนำไปสู่การสู้รบด้วยอาวุธเทอร์โมนิวเคลียร์แบบเต็มพิกัดอย่างแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ [13]
คงต้องขอบคุณความเสี่ยงดังกล่าวนี้ ลงท้ายแล้วเหล่าผู้นำของอภิมหาอำนาจทั้ง 2 จึงเห็นพ้องตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการหลายๆ ประการเพื่อมุ่งลดการบานปลาย เป็นต้นว่า สนธิสัญญา INF ปี 1987 [14] ที่กำลังจะถูกยกเลิกอยู่แล้ว ซึ่งมีเนื้อหาห้ามไม่ให้ติดตั้งประจำการขีปนาวุธพิสัยกลางแบบยิงจากภาคพื้นดิน ที่สามารถจุดชนวนให้เกิดการแผ่ขยายไปสู่ความวิบัติย่อยยับในท้ายที่สุดเช่นว่านี้
ทุกวันนี้ เส้นแนวแห่งการเผชิญหน้ากันระหว่างรัสเซียกับนาโต้ในยุโรป กำลังได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว (จริงๆ แล้วได้รับการเติมเสริมเพิ่มมากขึ้นอีกเสียด้วยซ้ำ) [15] ตามเส้นแนวขอบที่ประชิดกับดินแดนของรัสเซียยิ่งกว่าเมื่อครั้งสงครามเย็นมากมายนัก ทั้งนี้ต้องขอบคุณนโยบายของนาโต้ที่มุ่งแผ่ขยายไปทางตะวันออก [16] และรับเอารัฐที่เคยอยู่ในกติกาสัญญาวอร์ซอ อย่าง สาธารณรัฐเช็ก, โปแลนด์, ฮังการี, โรมาเนีย, สโลวาเกีย, และเหล่า 3 รัฐริมทะเลบอลติก เข้ามาเป็นชาติสมาชิกของตนในช่วงที่โลกมีสหรัฐฯเป็นเพียงขั้วอำนาจหนึ่งเดียว ตามเส้นแนวที่มีการปรับเปลี่ยนที่มั่นกันใหม่แล้วเส้นนี้ ก็เฉกเช่นเดียวกันในระหว่างช่วงหลายๆ ปีของสงครามเย็น เวลานี้มีกำลังทหารติดอาวุธเพียบพร้อมจำนวนหลายแสนคนเข้าประจำจุดสำคัญต่างๆ ซึ่งสามารถเข้าสู้รบทำศึกอย่างเต็มพิกัดได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ในเวลาเดียวกัน เส้นแนวแห่งการเผชิญหน้าทำนองเดียวกันนี้ยังได้ถูกจัดตั้งขึ้นในเอเชียอีกด้วย ตั้งแต่เส้นแนวขอบดินแดนภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย ไปถึงทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ และเข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กองบัญชาการทหารสหรัฐฯภาคพื้นแปซิฟิก (Pacific Command) ของกระทรวงกลาโหมอเมริกัน ซึ่งตั้งฐานอยู่ในฮาวาย ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกองบัญชาการทหารสหรัฐฯภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Command) [17] อันเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงการขยายพรมแดนแห่งการเผชิญหน้ากันนี้ แล้วตามจุดต่างๆ ของแนวเส้นดังกล่าวนี้ เครื่องบินและเรือรบของสหรัฐฯก็กำลังมีการประจันหน้ากับอากาศยานและนาวาของฝ่ายจีนและฝ่ายรัสเซีย [18] กันอยู่เป็นประจำเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่เคลื่อนเข้าใกล้กันภายในพิสัยซึ่งยิงใส่กันได้
เพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่า เวลานี้มหาอำนาจนิวเคลียร์ใหญ่ 3 รายกำลังช่วงชิงผลักไสกันเพื่อฐานะที่มั่นและความได้เปรียบตามบริเวณสำคัญต่างๆ ของพื้นพิภพนี้ มันก็ย่อมหมายความอยู่ในตัวแล้วว่า มีความเป็นไปได้เพิ่มมากขึ้นที่จะเกิดการปะทะกันซึ่งอาจจุดชนวนให้สถานการณ์บานปลายขยายตัวจนนำไปสู่ความวิบัติหายนะ
ตอนนี้สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในระหว่างสงครามเย็น สหรัฐฯกับสหภาพโซเวียตมีการต่อกรด้วยการดำเนินกิจกรรมอันเป็นปรปักษ์ต่างๆ เข้าใส่กัน เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นสู้รบกันด้วยอาวุธ กิจกรรมดังกล่าวมีทั้งการโฆษณาชวนเชื่อ และสงครามปล่อยข่าวเท็จข่าวลวง, ตลอดจนการแอบสอดแนมสืบหาข่าวกรองกันอย่างกว้างขวาง ทั้งสองฝ่ายยังแสวงหาทางที่จะขยายอิทธิพลบารมีของพวกเขาไปยังทุกมุมโลก ด้วยการเข้าไปเกี่ยวพันต่อสู้กันอยู่ใน “สงครามตัวแทนต่างๆ” (proxy wars) --ซึ่งก็คือการสู้รบขัดแย้งระดับท้องถิ่นตามสถานที่ซึ่งเวลานั้นเรียกกันว่า “โลกที่สาม” โดยที่แต่ละฝ่ายมุ่งพยายามส่งเสริมสนับสนับสนุนระบอบปกครองท้องถิ่นซึ่งจงรักภักดีต่อตนเองและกำจัดกวาดล้างระบอบปกครองท้องถิ่นที่จงรักภักดีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
การสู้รบขัดแย้งดังกล่าวจะทำให้มีผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นล้านๆ คน ทว่าไม่เคยนำไปสู่การรบรากันโดยตรงระหว่างกองทหารของอภิมหาอำนาจทั้ง 2 (ถึงแม้แต่ละฝ่ายจะมีการจัดส่งกองทหารของตนเป็นจำนวนมากๆ เข้าไปในสนามประลองหลัก ๆ ก็ตามที เป็นต้นว่า สหรัฐฯในเวียดนาม และสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถาน) รวมทั้งพวกเขาไม่เคยยินยอมปล่อยให้กิจกรรมและการสู้รบขัดแย้งเหล่านี้กลายเป็นการเติมเชื้อเพลิงกระตุ้นให้เกิดการปะทะกันด้วยนิวเคลียร์ในระหว่างพวกเขากันเองเลย ทั้งนี้ในเวลานั้น ประเทศทั้งสองต่างขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนระหว่างการปฏิบัติการดังกล่าว กับการระเบิดตูมของ “สงครามร้อน” ระดับโลก
สำหรับในศตวรรษที่ 21 เส้นแบ่งระหว่าง “สันติภาพ” กับ “สงคราม” เช่นนี้ กำลังเลือนรางลงไปเรื่อยๆ ขณะที่พวกมหาอำนาจใน 3 ขั้วอำนาจนี้มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในการปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งยังไม่ถึงกับเป็นการสู้รบกันด้วยอาวุธ ทว่ามีลักษณะบางอย่างบางประการของการต่อสู้ขัดแย้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างรัฐต่อรัฐ
ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่ทรัมป์ประกาศครั้งแรกเรื่องการใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรอย่างโหดๆ เล่นงานสินค้านำเข้าจากจีน ตลอดจนการลงโทษทางเศรษฐกิจอย่างอื่นๆ ต่อแดนมังกรนั้น สิ่งที่เขาเน้นย้ำแสดงเจตนารมณ์ก็คือการเอาชนะความได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรมของจีน ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นฝ่ายกอบโกยได้ประโยชน์ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน “เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้ว เราได้รบเร้าจีนให้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมเหล่านี้ และหันมาปฏิบัติอย่างยุติธรรมและมีลักษณะต่างตอบแทนกับบรรดาบริษัทอเมริกัน” เขากล่าวยืนยันเช่นนี้ในกลางเดือนกันยายนขณะประกาศขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าจีนมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 200,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ชัดเจนว่าการขยาย “สงคราม” การค้าให้บานปลายยกระดับสูงขึ้นเช่นนี้ของเขา ยังมีความมุ่งหมายในการสร้างปัญหาหนักให้แก่เศรษฐกิจจีน และดังนั้นก็จะสร้างความผิดหวังให้แก่ปักกิ่งที่ลงแรงใช้ความพยายามอย่างมุ่งมั่นเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับโลกรายสำคัญรายหนึ่ง ซึ่งเสมอภาคทัดเทียมกับสหรัฐฯ อย่างที่ นีล เออร์วิน (Neil Irwin) แห่งนิวยอร์กไทมส์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า คณะบริหารทรัมป์กำลังแสวงหาหนทางที่จะ “โดดเดี่ยวจีน และบังคับให้จีนต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญๆ ในการปฏิบัติทางธุรกิจและทางการค้า เป้าหมายสูงสุดก็คือ ... การรีเซตความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและส่วนอื่นๆ ของโลกกันเสียใหม่” [19]
ในการดำเนินการเรื่องนี้ กล่าวกันว่าทรัมป์มีความสนใจมั่นหมายเป็นพิเศษที่จะก่อกวนและตัดแข้งตัดขาแผนการ “เมดอินไชน่า 2025” (Made in China 2025) ของปักกิ่ง [20] อันเป็นแผนการแสนทะเยอทะยานซึ่งมุ่งทำให้จีนกลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมในภาคเทคโนโลยีหลักๆ ของเศรษฐกิจโลก เป็นต้นว่า ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และศาสตร์ด้านหุ่นยนต์ ซึ่งหากปักกิ่งประสบความสำเร็จตามแผนการนี้ ก็จะสามารถส่งให้จีนยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม ทว่าเป็นเรื่องที่ทรัมป์และสหายของเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะขัดขวางบ่อนทำลาย [21]
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สำหรับจีนแล้ว เรื่องที่สหรัฐฯทำอยู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การท้าทายในลักษณะแข่งขันชิงดีชิงเด่นธรรมดา แต่เป็นภัยคุกคามอันร้ายแรงซึ่งมีศักยภาพที่จะกระทบกระเทือนสถานะความเป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ของจีนในอนาคต ดังนั้นจึงคาดหมายผลที่จะเกิดตามมาได้ว่า จะมีมาตรการตอบโต้ต่างๆ ซึ่งน่าจะยิ่งลบเลือนเส้นพรมแดนระหว่างสันติภาพกับสงครามให้จางลงไปอีก
และหากว่าจะพื้นที่ใดซึ่งพรมแดนเส้นแบ่งดังกล่าวกำลังมีความเสี่ยงที่จะถูกกัดกร่อนหมดสิ้นไปอย่างมากเป็นพิเศษแล้ว มันก็ย่อมจะต้องเป็นในไซเบอร์สเปซ --อาณาบริเวณซึ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการสู้รบในโลกยุคหลังสงครามเย็น ในเวลาเดียวกับที่เป็นแหล่งกำเนิดความมั่งคั่งร่ำรวยอันใหญ่โตมหึมาสำหรับบริษัททั้งหลายซึ่งพึ่งพาอาศัยอินเทอร์เน็ตสำหรับการพาณิชย์และการสื่อสารคมนาคม ไซเบอร์สเปซก็ยังคงเป็นป่าดิบเถื่อนซึ่งพื้นที่จำนวนมากยังไม่ได้มีการตรวจการณ์ดูแล ดังนั้นพวกผู้เล่นเลวๆ ยังคงสามารถที่จะแพร่กระจายข่าวลวงปล่อยข้อมูลข่าวสารเท็จ, โจรกรรมความลับ, หรือสร้างอันตรายให้แก่การปฏิบัติการทางเศรษฐกิจและอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คุณสมบัติอันเห็นชัดกันแล้วของมันในเรื่องความสามารถในการเจาะทะลุทะลวง ได้กลายเป็นเหมืองทองคำสำหรับพวกอาชญากรและพวกนักปลุกปั่นยุยงทางการเมืองของทุกฝ่ายทุกสีทุกค่าย รวมทั้งประดากลุ่มแข็งกร้าวใช้ความรุนแรงที่ได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาล ซึ่งกระหายที่จะเข้าต่อสู้พันตูในการปฏิบัติการก้าวร้าวเชิงรุกต่างๆ ที่แม้ยังไม่ถึงกับเป็นการสู้รบด้วยอาวุธ แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายอย่างสำคัญต่อประเทศที่ตกเป็นเป้าหมาย [22]
อย่างที่พวกเราชาวอเมริกันได้ค้นพบประสบมาแล้วด้วยความสยดสยอง พวกสายลับพวกตัวแทนของรัฐบาลรัสเซียสามารถที่จะฉวยใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนเปราะอันมากมายของอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2016 [23] รวมทั้งมีรายงานด้วยว่าพวกเขายังคงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าก้าวก่ายการเมืองแบบเลือกตั้งของอเมริกาในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2018 นี้ [24] สำหรับจีนนั้น ก็เป็นที่เชื่อกันว่าได้ฉวยใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตเพื่อการโจรกรรมความลับทางเทคโนโลยีของอเมริกัน [25] เป็นต้นว่า พวกข้อมูลสำหรับการออกแบบและการพัฒนาระบบอาวุธอันก้าวหน้าต่างๆ
สหรัฐฯก็เช่นเดียวกัน มีประวัติในเรื่องการเข้าเกี่ยวข้องพัวพันในการปฏิบัติการทางไซเบอร์เชิงรุกรานก้าวร้าว เป็นต้นว่า การโจมตีด้วยมัลแวร์ “สตุกซ์เน็ต” (Stuxnet) เมื่อปี 2010 [26] ซึ่งถือเป็นการเปิดหน้าใหม่ของการสู้รบทางไซเบอร์ ที่สามารถทำให้กิจกรรมด้านการเพิ่มความเข้มข้นยูเรเนียมในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วคราว นอกจากนั้นมีรายงานว่ายังมีการใช้วิธีการทำนองนี้เพื่อพยายามสร้างความเสียหายแก่การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ [27]
สหรัฐฯใช้การโจมตีทางไซเบอร์โดยตรงต่อจีนหรือรัสเซียมากมายขนาดไหนนั้น ยังไม่เป็นที่ทราบกัน แต่ภายใต้ “ยุทธศาสตร์ไซเบอร์แห่งชาติ” (National Cyber Strategy) ฉบับใหม่ [28] ซึ่งเปิดเผยโดยคณะบริหารทรัมป์เมื่อเดือนสิงหาคม การโจมตีเช่นนี้น่าจะยิ่งมีการดำเนินการเพิ่มมากขึ้นเป็นอันมาก ด้วยข้ออ้างที่ว่าประเทศเหล่านี้ได้สร้างอันตรายให้แก่ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯโดยใช้วิธีการโจมตีทางไซเบอร์อย่างไม่หยุดไม่หย่อน คณะบริหารทรัมป์จึงมอบอำนาจให้ดำเนินการโจมตีตอบโต้แก้เผ็ดอย่างลับๆ
คำถามมีอยู่ว่า สงครามการค้าและสงครามทางไซเบอร์ สักวันหนึ่งจะนำไปสู่การสู้รบขัดแย้งด้วยอาวุธจริงๆ ได้หรือไม่?
ต่างฝ่ายต่างอวดเบ่งกล้ามในช่วงเวลาที่อันตรายมาก
อันตรายต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น ยังผสมผสานกับลักษณะโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของกล่องไม้ขีดไวไฟระดับโลกกล่องใหม่นี้ ซึ่งได้แก่ แรงกระตุ้นอย่างไร้การบันยะบันยังของพวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปของทั้ง 3 มหาอำนาจ ที่จะป่าวประกาศความแข็งกร้าวฮึกเหิมในระดับโลกของพวกเขา โดยผ่านการสำแดงแสนยานุภาพทางทหารอย่างชัดแจ้งเตะตา ซึ่งรวมไปถึงการล่วงล้ำเข้าสู่เส้นแนวเขตของฝ่ายปรปักษ์ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างว่าเป็นการกระทำในเชิงป้องกันตัวหรืออย่างไรก็ตามที เรื่องเช่นนี้สามารถกระทำกันได้ในรูปแบบหลายหลาก รวมทั้ง การ “ฝึกซ้อม” ทางทหารอย่างก้าวร้าว และการส่งเรือรบแล่นเข้าไปในน่านน้ำที่กำลังเกิดการโต้แย้งกันอยู่
การเอ็กเซอร์ไซส์ทางการทหารอย่างใหญ่โตมหึมาและเป็นภัยอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นลักษณะที่โดดเด่นประการหนึ่งของยุคใหม่นี้ไปแล้ว แบบฉบับของการปฏิบัติการดังกล่าวจะมีการระดมกำลังพลอย่างมากมายกว้างขวางทั้งทางอากาศ, ทางทะเล, และทางภาคพื้นดินเข้ามาร่วมการจำลองการเคลื่อนพลเข้าสู้รบ โดยที่บ่อยครั้งมักกระทำกันในบริเวณที่ประชิดกับดินแดนของฝ่ายปรปักษ์
ตัวอย่างเช่น ในฤดูร้อนปีนี้ ระฆังเตือนอันตรายในองค์การนาโต้ดังลั่นหูดับตับไหม้ เมื่อรัสเซียจัดการซ้อมรบที่ใช้รหัสว่า “วอสตอค 2018” (Vostok 2018) [29] อันเป็นการเอ็กเซอร์ไซส์ทางการทหารครั้งใหญ่ที่สุดของฝ่ายนี้นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา วอสตอค 2018 ซึ่งระดมกำลังพลเข้าร่วมมากมายถึง 300,000 คน, ยานยนต์หุ้นเกราะ 36,000 คัน, และเครื่องบินกว่า 1,000 ลำ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมกองทหารรัสเซียให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้าที่อาจเกิดขึ้นกับสหรัฐฯและนาโต้ ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณว่ามอสโกพรักพร้อมแล้วที่จะเข้ามีปฏิสัมพันธ์ในการประจันหน้าลักษณะดังกล่าว
ทางฝ่ายนาโต้ก็ไม่ยอมที่จะถูกกดข่มอยู่ข้างเดียว เมื่อเร็วๆ นี้เอง องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือได้จัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลงขึ้นมาบ้าง การเอ็กเซอร์ไซส์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้คราวนี้ใช้ชื่อรหัสว่า “ไทรเดนต์ เวนเจอร์” (Trident Venture) [30] มีการระดมกำลังทหารจำนวนราว 40,000 คน, เรือ 70 ลำ, เครื่องบิน 150 ลำ, และยานยนต์สู้รบภาคพื้นดิน 10,000 คัน ถือเป็นการฝึกซ้อมซึ่งมุ่งหมายที่จะจำลองเลียนแบบการสู้รบปะทะกันครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายตะวันออก-ฝ่ายตะวันตกในยุโรป
การระดมกำลังทหารออกมาฝึกซ้อมกันเป็นระยะๆ เช่นนี้ ย่อมสามารถนำไปสู่ความเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายและยั่วยุได้ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้เอ็กเซอร์ไซส์ก็ตามที อย่างที่เกิดกรณีเรือและเครื่องบินของกองทหารซึ่งกำลังชิงดีชิงเด่นกัน เคลื่อนเข้าไปในพื้นที่ซึ่งมีการระแวงสงสัยกันอยู่แล้ว เช่นทะเลบอลติก และทะเลดำ โดยในเหตุการณ์ที่ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 เครื่องบินไอพ่นสู้รบของรัสเซียหลายลำ ได้บินแบบยั่วยุท้าทายในระยะห่างเพียงสองสามร้อยเมตรจากเรือพิฆาตของสหรัฐฯลำหนึ่งซึ่งกำลังแล่นอยู่ในทะเลบอลติก จนเกือบจะนำไปสู่เหตุการณ์ยิงต่อสู้กันอยู่รอมร่อ [31] หรือหากขยับใกล้เข้ามายิ่งกว่านั้นอีก ก็เกิดเหตุการณ์ที่รายงานกันว่าเครื่องบินรัสเซียบินขยับใกล้จนห่างไม่ถึง 1.5 เมตรจากเครื่องบินตรวจการณ์ลำหนึ่งของอเมริกาซึ่งกำลังบินอยู่เหนือทะเลดำ [32]
ตอนนี้ยังไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดการบาดเจ็บหรือถูกสังหารจากกรณีการประจันหน้ากันเหล่านี้ แต่หากยังมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว ก็คงจะต้องถึงคราวที่บางสิ่งบางอย่างเกิดความผิดพลาดอย่างเลวร้ายขึ้นมาเข้าจนได้
ความเป็นจริงอย่างเดียวกันนี้ยังกำลังเกิดขึ้นจากการประจันหน้ากันระหว่างนาวีของจีนกับนาวีของสหรัฐฯในทะเลจีนใต้ด้วยเหมือนกัน จีนนั้นได้ถมทะเลปรับเปลี่ยน พวกเกาะน้อย กองหิน และแนวปะการังที่อยู่ในระดับเรี่ยน้ำซึ่งตนเองอ้างกรรมสิทธิ์อยู่ ให้กลายเป็นสิ่งปลูกสร้างทหารขนาดย่อมๆ ที่สมบูรณ์พร้อมทั้งทางวิ่งขึ้นลงของเครื่องบิน, เรดาร์, และหน่วยขีปนาวุธ ท่ามกลางการประณามคัดค้านของพวกชาติเพื่อนบ้านซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เหล่านี้อยู่เหมือนกัน [33] ทางด้านสหรัฐฯซึ่งกำลังแสดงบบาทให้การหนุนช่วยเหล่าพันธมิตรของตนในภูมิภาค ตลอดจนใช้ข้ออ้างที่ว่าเพื่อปกป้องคุ้มครอง “เสรีภาพในการเดินเรือ” ในอาณาบริเวณนี้ ได้หาทางตอบโต้การสั่งสมกำลังแบบยั่วยุท้าทายของจีนนี้ ด้วยพฤติการณ์อันก้าวร้าวรุกรานของพวกเขาเองบ้าง [34] เป็นต้นว่า การส่งเรือรบแล่นเข้าไปเฉียดใกล้พวกเกาะที่ปักกิ่งติดอาวุธเสริมสร้างการป้องกันอย่างแข็งแรงเหล่านี้
ทางฝ่ายจีนได้ตอบโต้ด้วยการส่งเรือออกมาก่อกวนนาวีอเมริกัน โดยที่เมื่อเร็วๆ นี้เองมีเรือรบของจีนลำหนึ่งเกือบจะชนปะทะกับเรือพิฆาตสหรัฐฯทีเดียว [35] ตอนที่รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐฯ ไปกล่าวปราศรัยครั้งสำคัญเกี่ยวกับนโยบายต่อจีนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ณ สถาบันฮัดสัน (Hudson Institute) ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์คราวนี้ พร้อมกับพูดว่า “เราจะไม่ยอมให้ถูกขู่ขวัญ และเราก็จะไม่ยอมหยุด” [36]
อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา แต่วลีที่ว่า “ไม่ยอมหยุด” นั้น ย่อมแปลกันอย่างคร่าวๆ ได้ว่า จะมีการเคลื่อนไหวใช้กำลังอย่างแข็งกร้าวยิ่งขึ้นกว่าเก่าอีก
หรือว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ?
เมื่อนำเอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดมารวมกัน –ทั้งการโจมตีกันในทางเศรษฐกิจ, การโจมตีทางไซเบอร์, และการปฏิบัติการเบ่งกล้ามสำแดงพลังทางทหารอย่างก้าวร้าวมากขึ้นทุกทีๆ – คุณก็จะได้สถานการณ์แบบวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในเวอร์ชั่นใหม่ ปะทุขึ้นมาตอนไหนก็ได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสหรัฐฯกับจีน หรือสหรัฐฯกับรัสเซีย หรือกระทั่งเกิดขึ้นระหว่างทั้ง 3 รายนี้ ยิ่งเมื่อบวกเข้ากับท่าทีของเหล่าผู้นำของทั้ง 3 ประเทศซึ่งดูเหมือนตั้งอกตั้งใจจะทอดทิ้งความบันยะบันยั้งที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง ในการเข้าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แล้วหันมาเสาะแสวงหาทางเพิ่มคลังแสงที่มีอยู่แล้วของพวกเขาให้มากขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ คุณก็จะมีส่วนประกอบทุกๆ ชิ้นครบถ้วนของคำนิยามว่าด้วยสถานการณ์ที่มีภัยอันตรายอย่างยิ่งยวด
ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทรัมป์ได้เปิดไฟเขียวให้เดินหน้าสิ่งซึ่งในที่สุดแล้วจะกลายเป็นโครงการมูลค่าสูงลิ่วถึง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ [37] เพื่อยกเครื่องคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการริเริ่มพิจารณากันตั้งแต่ช่วงวาระการเป็นประธานาธิบดีของบารัค โอบามา ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะปรับปรุงยกระดับระบบขีปนาวุธที่ใช้ยิงนำเอาหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯไปสู่เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป, ขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำ, หรือเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยไกล ให้ “มีความทันสมัย” ทางฝ่ายรัสเซียก็ได้เริ่มต้นดำเนินการยกเครื่องอาวุธนิวเคลียร์ที่พวกเขาสะสมไว้ในทำนองเดียวกัน [38] ขณะที่จีน ซึ่งคลังแสงนิวเคลียร์มีขนาดเล็กกว่าของสหรัฐฯและรัสเซียมาก ก็กำลังดำเนินโครงการปรับปรุงยกระดับให้ทันสมัยของพวกเขาเอง [39]
สิ่งที่น่าวิตกกังวลพอๆ กัน ยังได้แก่เรื่องที่ 3 มหาอำนาจเหล่านี้ทุกๆ ราย ต่างดูเหมือนกำลังมุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ระดับยุทธบริเวณ ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะนำมาใช้ต่อสู้กับกองกำลังอาวุธตามแบบแผน (ไม่ใช่กองกำลังอาวุธนิวเคลียร์) ในเวลาที่เกิดสงครามทางทหารขนาดใหญ่โต ตัวอย่างเช่น รัสเซียได้พัฒนาทั้งขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลางหลายๆ แบบ ซึ่งมีศักยภาพที่จะส่งหัวรบนิวเคลียร์หรือหัวรบตามแบบแผนธรรมดาก็ได้ ไปสู่เป้าหมาย เป็นต้นว่า ขีปนาวุธร่อนแบบยิงจากภาคพื้นดินแบบ 9 เอ็ม729 (9M729 ground-launched cruise missile) [40] ซึ่งพวกเจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างว่า การติดตั้งประจำการขีปนาวุธชนิดนี้เท่ากับเป็นการละเมิดสนธิสัญญา INF เรียบร้อยแล้ว [41]
ทางด้านสหรัฐฯ ซึ่งวางแผนมายาวนานแล้วที่จะพึ่งพาอาศัยอาวุธนิวเคลียร์ชนิดซึ่งปล่อยออกจากเครื่องบิน เพื่อใช้โจมตีเล่นงานภัยคุกคามจากศัตรูที่เป็นกองกำลังอาวุธตามแบบแผนขนาดใหญ่โตมหึมา [42] เวลานี้กำลังหาทางเพิ่มทางเลือกต่างๆ ในการโจมตีของพวกเขาเองให้มากขึ้น ตามเอกสาร “ปริทัศน์นโยบายนิวเคลียร์” (Nuclear Policy Review) ฉบับล่าสุดที่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ของคณะบริหารทรัมป์ ระบุว่า เพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) จะดำเนินการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ ที่มี “อานุภาพการระเบิดต่ำ” [43] เพื่อใช้ประกอบกับขีปนาวุธนำวิถีชนิดยิงจากเรือดำน้ำที่พวกเขาเองมีใช้อยู่แล้วในปัจจุบัน แล้วหลังจากนั้นยังจะจัดซื้อจัดหาขีปนาวุธร่อนชนิดยิงจากทะเลที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้อีกด้วย
ในเวลาเดียวกับที่พัฒนาอาวุธใหม่ๆ และเพิ่มพูนสมรรถนะของอาวุธรุ่นเก่ากว่าอย่างขะมักเขม้นอยู่นี้ มหาอำนาจใหญ่เหล่านี้ยังกำลังโค่นทิ้งทำลายสถาปัตยกรรมเพื่อการควบคุมอาวุธที่ยังเหลืออยู่ การที่ทรัมป์ประกาศในวันที่ 20 ตุลาคมว่า สหรัฐฯจะถอนตัวออกจากสนธิสัญญา INF ปี 1987 เพื่อพัฒนาขีปนาวุธชนิดใหม่ๆ ของพวกเขาเอง เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงก้าวเดินแห่งการสร้างภัยพิบัติในทิศทางดังกล่าว “เราจะต้องพัฒนาอาวุธเหล่านี้” ทรัมป์กล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวในรัฐเนวาดาภายหลังการกล่าวปราศรัยหาเสียง “เรากำลังจะยกเลิกข้อตกลงฉบับนี้ และเราก็กำลังจะถอนตัวออกมา” [44]
แล้วพวกเราที่ยังเหลืออยู่จะตอบโต้ต่อทิศทางอนาคตอันน่าหดหู่ในโลกซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายเพิ่มขึ้นทุกทีเช่นนี้กันอย่างไร? ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถชะลอฝีก้าวของการแข่งขันช่วงชิงกันไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 เช่นนี้ได้?
ตามความเป็นจริง สิ่งที่สามารถทำได้นั้นมีอยู่เป็นอย่างมากมายทีเดียว เพื่อต้านทานไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ เพราะอันที่จริงแล้ว เนื่องจากแรงกดดันบีบคั้นจากสาธารณชนอย่างมหาศาลในช่วงทศวรรษ 1980 นั่นเอง ซึ่งทำให้สหรัฐฯกับสหภาพโซเวียตตกลงลงนามกันในสนธิสัญญา INF
แต่การที่จะทำเช่นนี้ได้ เรื่องสงครามโลกครั้งใหม่จะต้องถูกมองว่าเป็นอันตรายสำคัญที่สุดในยุคสมัยของเรา มีศักยภาพที่จะเป็นอันตรายยิ่งกว่าในยุคสมัยสงครามเย็นเสียด้วยซ้ำ เมื่อคำนึงถึงว่ามหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ติดอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องนี้อยู่ในเวลานี้มีถึง 3 รายไม่ใช่แค่ 2 รายเหมือนเมื่อก่อน มีแต่จะต้องจัดวางเอาความเสี่ยงดังกล่าวนี้ให้อยู่ตรงข้างหน้าสุดและอยู่ตรงศูนย์กลาง รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า มีแนวโน้มอื่นๆ อีกมากมายขนาดไหน ซึ่งกำลังนำเราไปสู่ทิศทางดังกล่าว ไม่ว่ามันจะดูสับสนวุ่นวายสักแค่ไหนก็ตามที นั่นแหละความใส่ใจของสาธารณชนทั่วโลกซึ่งถูกหันเหไปสู่ความสนใจและความวิตกกังวลอย่างอื่นๆ มากมายอยู่แล้ว จึงจะสามารถหันกลับมาโฟกัสรวมศูนย์อยู่ที่เรื่องนี้ได้
สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ คือสิ่งที่สามารถป้องกันได้หรือไม่? ผมคิดว่าได้ครับ ทว่าจะทำได้ ก็ต่อเมื่อสามารถทำให้การป้องกันไม่ให้สงครามเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ กลายเป็นวัตถุประสงค์ร่วมและวัตถุประสงค์ศูนย์กลางของช่วงเวลาของพวกเราเท่านั้น และช่วงขณะเวลาดังกล่าวก็กำลังหดหายลงไปทุกทีๆ แล้ว
(ข้อเขียนชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บไซต์ “ทอมดิสแพตช์” หาอ่านข้อเขียนดั้งเดิมนี้ได้ที่ http://www.tomdispatch.com/post/176489/tomgram%3A_michael_klare%2C_on_the_road_to_world_war_iii/#more)
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
ไมเคิล ที. แคลร์ เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านการศึกษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก (peace and world security studies) ณ วิทยาลัยแฮมป์เชียร์ (Hampshire College) ในเมืองแอมเฮิร์สต์ รัฐแมสซาชูเซตส์ และเป็นนักวิจัยอาคันตุกะอาวุโส ณ สมาคมอาวุธอาวุธ (Arms Control Association) หนังสือเล่มล่าสุดคือเรื่อง The Race for What's Left หนังสือเล่มต่อไปของเขาซึ่งจะใช้ชื่อเรื่องว่า All Hell Breaking Loose: Climate Change, Global Chaos, and American National Security กำหนดจะตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2019
เชิงอรรถ
[1] https://www.dw.com/en/prepare-for-a-new-cold-war-without-inf-russia-analyst-says/a-45989301
[2] https://www.wsj.com/articles/mike-pence-announces-cold-war-ii-1539039480
[3] https://www.nytimes.com/2018/10/22/world/europe/cold-war-trump-russia-china.html
[4] https://www.history.com/topics/cold-war/cuban-missile-crisis
[5]http://www.tomdispatch.com/post/175605/tomgram%3A_noam_chomsky,_%22the_most_dangerous_moment,%22_50_years_later/
[6] https://www.armscontrol.org/factsheets/USRussiaNuclearAgreementsMarch2010
[7] https://www.abc.net.au/news/2018-10-03/south-china-sea-encounter-between-us-warship-and-chinese-vessel/10333096
[8] https://www.bbc.com/news/world-europe-45942439
[9] http://users.metu.edu.tr/utuba/Krauthammer.pdf
[10] https://news.brown.edu/articles/2017/11/costssummary
[11] http://www.tomdispatch.com/post/176451/
[12] https://www.theatlantic.com/ideas/archive/2018/10/china-or-russia-american-enemy/572479/
[13] http://articles.latimes.com/1987-03-01/news/mn-6926_1_fulda-gap
[14] https://www.armscontrol.org/factsheets/INFtreaty
[15]http://www.tomdispatch.com/post/176344/tomgram%3A_nick_turse%2C_a_red_scare_in_the_gray_zone/
[16] http://www.eata.ee/en/nato-2/nato-member-states/
[17] https://www.npr.org/sections/thetwo-way/2018/05/31/615722120/in-military-name-change-u-s-pacific-command-becomes-u-s-indo-pacific-command
[18] https://www.cnn.com/2018/09/12/politics/us-f-22-fighter-jets-intercept-russian-bombers/index.html
[19] https://www.nytimes.com/2018/10/06/upshot/trump-trade-strategy-coming-into-focus.html
[20] https://multimedia.scmp.com/news/china/article/made-in-China-2025/index.html
[21] https://www.scmp.com/business/global-economy/article/2151177/real-target-trumps-trade-war-made-china-2025
[22] https://www.amazon.com/dp/0061962236/ref=nosim/?tag=tomdispatch-20
[23] https://www.npr.org/sections/thetwo-way/2016/12/10/505072304/cia-concludes-russian-interference-aimed-to-elect-trump
[24] https://www.politico.com/story/2018/10/19/first-criminal-case-filed-over-russian-interference-in-2018-midterms-916787
[25] https://www.washingtonpost.com/world/national-security/chinese-theft-continues-in-cyberspace-as-new-threats-emerge-us-intelligence-officials-warn/2018/07/26/7af698ae-90cc-11e8-9b0d-749fb254bc3d_story.html
[26] https://en.wikipedia.org/wiki/Stuxnet
[27] https://www.nytimes.com/2017/03/04/world/asia/left-of-launch-missile-defense.html
[28] https://www.huffingtonpost.com/entry/trump-cyberattack-directive-20_us_5b758f76e4b0df9b093d1b06
[29] https://www.theguardian.com/world/2018/sep/11/russia-largest-ever-military-exercise-300000-soldiers-china
[30] https://breakingdefense.com/2018/09/nato-russia-prep-biggest-war-games-since-cold-war/
[31] https://www.washingtonpost.com/news/checkpoint/wp/2016/04/13/russian-air-force-buzzed-u-s-navy-destroyer-repeatedly-in-baltic-sea/
[32] https://www.cnn.com/2018/01/29/politics/russia-jet-us-navy-black-sea/index.html
[33] https://www.nytimes.com/2018/08/29/world/asia/china-navy-aircraft-carrier-pacific.html
[34] https://www.nytimes.com/2018/09/20/world/asia/south-china-sea-navy.html
[35] https://www.washingtonpost.com/world/chinese-warship-nearly-hits-us-destroyer-in-south-china-sea/2018/10/02/877cc788-c5fb-11e8-9158-09630a6d8725_story.html
[36] https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/remarks-vice-president-pence-administrations-policy-toward-china/
[37] https://www.nytimes.com/2017/10/31/us/politics/trump-nuclear-weapons-arsenal-congressional-budget.html
[38] https://fas.org/wp-content/uploads/2014/05/Brief2014-Paris-RussiaNukes.pdf
[39] https://www.ucsusa.org/nuclear-weapons/us-china-relations/nuclear-modernization#.W9N08mhKjSE
[40] https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/00963402.2018.1462912
[41] https://www.armscontrol.org/act/2018-01/features/we-nearing-end-inf-treaty
[42] https://fas.org/blogs/security/2016/01/b61-12_earth-penetration/
[43] https://www.armscontrol.org/act/2017-12/news/hill-wants-development-banned-missile
[44] https://www.theguardian.com/world/2018/oct/20/trump-us-nuclear-arms-treaty-russia