เอเอฟพี - สหรัฐฯ ประกาศเพิกถอนวีซ่าพลเมืองซาอุดีอาระเบียที่มีส่วนพัวพันกับการสังหาร จามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าววอชิงตันโพสต์ ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเยาะเย้ยแผนปกปิดความจริงของซาอุฯ ว่า ‘ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์’
บทลงโทษของสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน ของตุรกี ออกมาแถลงว่า การปลิดชีพ คาช็อกกี ภายในสถานกงสุลซาอุฯ ที่นครอิสตันบูลนั้นถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี
พวกผู้นำซาอุฯ พยายามปัดความรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีนี้ โดยอ้างว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ
ทรัมป์ ระบุว่าตนได้พูดคุยกับสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุฯ รวมถึงเจ้าชายโมฮัมเหม็ด มกุฎราชกุมาร เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (21) ซึ่งเจ้าชาย “ตรัสย้ำชัดเจนว่าพระองค์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ระดับล่าง”
ทรัมป์ ชี้ว่า ซาอุฯ มี ‘แนวคิดที่ไม่ได้เรื่องมาตั้งแต่ต้น’ เกี่ยวกับการสังหาร คาช็อกกี วัย 59 ปี อดีตที่ปรึกษารัฐบาลซึ่งผันตัวมาเป็นสื่อฝ่ายตรงข้ามริยาด
“การลงมือเป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ ส่วนความพยายามปกปิดของพวกเขาก็แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์”
“มันเป็นความล้มเหลวอย่างที่สุด... ผมหมายถึงว่าพวกเขาไม่ควรจะคิดแผนนี้ขึ้นมาเลย แต่เมื่อพวกเขาคิดแล้ว ทุกอย่างที่ทำมันก็เลยแย่ตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น”
หลังเผชิญแรงกดดันจากสมาชิกสภาคองเกรสให้ต้องใช้ไม้แข็ง ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศรายชื่อพลเมืองซาอุฯ 21 คนที่จะถูกเพิกถอนวีซ่า หรือไม่มีสิทธิ์ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ในอนาคต
“บทลงโทษเหล่านี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายต่อคดีที่เกิดขึ้น” ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ “เราจะแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่อดทนกับการใช้ความรุนแรงปิดปากคุณ คาช็อกกี ซึ่งเป็นสื่อมวลชน”
พอมเพโอ ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยชาวซาอุฯ ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่จาก “หน่วยข่าวกรอง ราชสำนัก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงอื่นๆ ของซาอุฯ” และวอชิงตันอยู่ระหว่างทบทวนว่าจะใช้กฎหมาย ‘แมกนิตสกี’ สั่งคว่ำบาตรทางการเงินต่อบุคคลที่อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรม คาช็อกกี หรือไม่
รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐฯ ประณามแผนปลิดชีพ คาช็อกกี ว่าเป็น “การฆาตกรรมที่โหดเหี้ยม” พร้อมชี้ว่าสิ่งที่ผู้นำตุรกีเปิดเผยนั้นเป็นการหักล้างคำกล่าวอ้างของรัฐบาลซาอุฯ
หลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ริยาดปฏิเสธเสียงแข็งว่า คาช็อกกี ไม่ได้ถูกฆ่า และเดินทางออกจากสถานกงสุลไปแล้วหลังจากมาทำเรื่องขอจดทะเบียนสมรส แต่เมื่อถูกนานาชาติกดดันหนักเข้าก็พลิกลิ้นยอมรับว่านักข่าวรายนี้เสียชีวิตแล้วจากเหตุทะเลาะวิวาทซึ่งนำไปสู่การชกต่อย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีตุรกีกลับให้ข้อมูลว่า ริยาดจงใจส่งทีมปฏิบัติการ 15 คนมาสังหาร คาช็อกกี โดยเฉพาะ และยังส่งคน 3 คนมาดูลาดเลาที่ด้านนอกสถานกงสุลล่วงหน้าหลายวัน อีกทั้งกล้องวงจรปิดภายในสถานกงสุลก็ถูกใครบางคนปิดการใช้งานโดยตั้งใจ
แอร์โดอัน เรียกร้องให้ซาอุฯ ส่งตัวผู้ต้องสงสัยทั้ง 18 คนมาดำเนินคดีที่อังการา และขอให้สอบปากคำทุกคนที่มีส่วนพัวพันกับคดีนี้ “แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม”
แอร์โดอัน ไม่ได้เอ่ยถึงข้อมูลสำคัญๆ ที่สื่อตุรกีนำมารายงานก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ คาช็อกกี ถูกหั่นร่างเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และเทปบันทึกเสียงขณะที่นักข่าวผู้นี้ถูกฆ่า แต่ยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ซาอุฯ คนหนึ่งนำชุดของผู้ตายมาใส่เพื่อทำให้ดูเหมือนว่า คาช็อกกี ออกจากสถานกงสุลไปแล้ว
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่าศพของ คาช็อกกี ถูกนำไปทิ้งที่ไหน แต่ตำรวจตุรกีได้เข้าตรวจสอบรถยนต์ของสถานกงสุลซาอุฯ ซึ่งถูกนำไปจอดทิ้งไว้ในลานจอดรถใต้ดินแห่งหนึ่งที่เขตสุลต่านกาซี (Sultangazi) ในนครอิสตันบูล
จานา จับบูร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัย ซิอองซ์ โป (Sciences Po) ในกรุงปารีส ชี้ว่า การที่ แอร์โดอัน ไม่ได้วิจารณ์ซาอุฯ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่านี้บ่งบอกว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะมีการเจรจาหลังม่าน
“คำพูดของ แอร์โดอัน ที่ฟังดูเป็นกลางมากๆ แสดงให้เห็นว่า น่าจะมีการทำข้อตกลงบางอย่างไว้แล้ว” เธอให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
แม้ปริศนาการตายของ คาช็อกกี จะทำให้นักธุรกิจและผู้แทนหลายประเทศบอยค็อตต์เวทีประชุมด้านการลงทุน Future Investment Initiative ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันที่โรงแรมริตซ์คาร์ลตันในกรุงริยาดสัปดาห์นี้ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล เมื่อซาอุดีอาระเบียประกาศลงนามข้อตกลง 25 ฉบับ รวมมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งในภาคน้ำมัน ก๊าซ โครงสร้างพื้นฐาน และอื่นๆ กับบริษัทชั้นนำหลายแห่งของโลก