xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: โลกบีบซาอุฯ แจงคดี ‘อุ้มฆ่า’ นักข่าว ด้าน ‘ทรัมป์’ ลังเลกล่าวโทษริยาด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

(จากซ้ายไปขวา) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ, จามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์ชาวซาอุฯ ที่สูญหาย และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย
การหายตัวไปนานกว่า 2 สัปดาห์ของ จามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ซึ่งทำงานเป็นคอลิมนิสต์ให้กับวอชิงตันโพสต์ กำลังกลายเป็นคดีอื้อฉาวที่ปลุกกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลซาอุฯ ต้องออกมาชี้แจงความจริง ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เผชิญแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศให้หยุดปกป้องพันธมิตรริยาด ท่ามกลางพยานหลักฐานที่ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงชะตากรรมอันโหดร้ายที่นักข่าวผู้นี้ต้องเผชิญจากการเป็นศัตรูกับราชวงศ์ซาอุฯ

การลงมือทำร้ายสื่อมวลชนอย่างอุกอาจเช่นนี้เป็นสิ่งที่นานาชาติไม่อาจยอมรับได้ และส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้าชายฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุฯ ซึ่งพยายามทำตัวเป็น ‘นักปฏิรูป’ นำประเทศเข้าสู่ยุคใหม่

คาช็อกกี วัย 59 ปี เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลซาอุฯ ก่อนจะลี้ภัยการเมืองไปอยู่สหรัฐฯ เมื่อปี 2017 หลังจากที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด วัย 33 พรรษา ทรงก้าวขึ้นมามีอิทธิพล

นักข่าวผู้นี้มักออกมาวิจารณ์ราชวงศ์ซาอุฯ ด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน ทั้งเรื่องการจับกุมผู้ที่เห็นต่างทั้งฝ่ายซ้ายและขวา รวมถึงเรื่องที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทรงเป็นตัวตั้งตัวตีนำชาติพันธมิตรเปิดสงครามกับกบฏฮูตีนิกายชีอะห์ในเยเมน จนเป็นเหตุให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นเบือ

คาช็อกกี หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อวันที่ 2 ต.ค. หลังเข้าไปที่สถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบูลเพื่อทำเรื่องขอจดทะเบียนสมรสกับ เฮทิซ เซนกิซ (Hatice Cengiz) คู่หมั้นชาวตุรกี

เจ้าหน้าที่ตุรกีเชื่อว่า นักข่าวฝีปากกล้ารายนี้ถูกหน่วยล่าสังหารของของซาอุฯ ฆ่าทิ้งภายในสถานกงสุลและทำลายศพ ขณะที่ฝ่ายซาอุฯ ปฏิเสธเสียงแข็งและอ้างว่า คาช็อกกี ออกจากสถานกงสุลไปแล้ว

ล่าสุด หนังสือพิมพ์รายวันเยนีซาฟาคซึ่งเป็นสื่อโปรรัฐบาลตุรกีรายงานเมื่อวันพุธ (17 ต.ค.) ว่า พวกเขาได้รับคลิปเสียงที่ยืนยันว่า คาช็อกกี ถูกสอบปากคำภายในสถานกงสุล และโดนทรมานอย่างโหดเหี้ยมด้วยการตัดนิ้วและแขนขาจนกระทั่งเสียชีวิต

รายงานยังอ้างว่าได้ยินเสียง โมฮัมเหม็ด อัล-โอไตบี กงสุลซาอุฯ พูดขณะที่ คาช็อกกี โดนทำร้ายว่า “ไปทำกันข้างนอกโน่น พวกคุณจะทำให้ผมลำบากนะ” และมีใครคนหนึ่งพูดกับ อัล-โอไตบี ว่า “ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่เวลากลับไปซาอุฯ ก็ให้เงียบเสีย”

นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันอังคาร (16) ว่า หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่รัฐบาลตุรกีระบุนั้นเป็นคนสนิทของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด อีก 3 คนเกี่ยวข้องกับหน่วยอารักขาเจ้าชาย และคนที่ 5 เป็นแพทย์นิติเวชระดับอาวุโส

คดี คาช็อกกี ถูกอุ้มหายนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับซาอุฯ เริ่มตึงเครียด เนื่องจากสภาคองเกรสและสื่ออเมริกันดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกซุกเข้าใต้พรม

ซาอุดีอาระเบียถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่ช่วยสหรัฐฯ ป้องปรามอิทธิพลของอิหร่าน และยังเป็นลูกค้าอาวุธรายใหญ่ด้วย ซึ่งความสำคัญของริยาดนั้นเห็นได้ชัดจากการที่ ทรัมป์ เลือกไปเยือนซาอุฯ เป็นประเทศแรกหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2017

ทรัมป์ ได้ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ เดินทางไปเยือนริยาดในสัปดาห์นี้เพื่อหารือกับสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานเกี่ยวกับเรื่องของ คาช็อกกี และขู่จะลงโทษสถานหนักหากพิสูจน์ได้ว่า คาช็อกกี ถูกฆ่าภายในสถานกงสุลซาอุฯ จริง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่วายปกป้องซาอุฯ ด้วยการโบ้ยว่าอาจจะเป็นฝีมือพวก ‘ลิ่วล้อแหกคอก’ ก็ได้

ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับเอพีในวันอังคาร (16) ว่าซาอุฯ ยังถือเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ อยู่จนกว่าความจริงจะปรากฏ พร้อมยกเรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับกรณี เบร็ตต์ คาวานอห์ นอมินีผู้พิพากษาศาลสูงสุด ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ

“คุณกลายเป็นคนผิดจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์ ซึ่งผมไม่ชอบเลย... ผมคิดว่าเราต้องหาคำตอบให้ได้เสียก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ทรัมป์ กล่าว

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์บิสเนสในวันพุธ (17) ทรัมป์ กล่าวว่าตนยังหวังอยู่ลึกๆ ว่ากษัตริย์และมกุฎราชกุมารซาอุฯ จะไม่รู้เห็นเรื่องนี้ และตนไม่อยากใช้บทลงโทษกับซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ช่วยสำคัญในการต่อสู้กับลัทธิก่อการร้ายและคานอิทธิพลอิหร่าน

พอมเพโอ ซึ่งได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งกษัตริย์ซัลมานและเจ้าชายโมฮัมเหม็ดให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียยืนยันจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับหายตัวไปของ คาช็อกกี อย่างโปร่งใส แต่เมื่อผู้สื่อข่าวยิงคำถามจี้ว่าตกลง คาช็อกกี ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กลับเลี่ยงที่จะตอบ

รัฐมนตรีต่างประเทศจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เรียกร้องเมื่อวันอังคาร (16) ให้ซาอุฯ สืบคดีนี้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม พร้อมย้ำเจตนารมณ์ของกลุ่มในการที่จะปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพสื่อ

ขณะเดียวกัน สมาชิกสภาคองเกรสจำนวนมาก รวมถึงคนในพรรครีพับลิกันของทรัมป์ ต่างก็เรียกร้องให้วอชิงตันมีมาตรการบีบคั้นซาอุฯ ให้ต้องพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการหายตัวไปของ คาช็อกกี โดย ส.ว. ลินด์ซีย์ เกรแฮม ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับ ทรัมป์ ถึงกับตราหน้าเจ้าชายโมฮัมเหม็ดว่าเป็นคนสั่งฆ่านักข่าวรายนี้

ก่อนหน้านี้ก็มีวุฒิสมาชิก 22 คนยื่นจดหมายเรียกร้องให้ ทรัมป์ ใช้อำนาจตามกฎหมายแมกนิตสกีว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชนสากล (Global Magnitsky Human Rights Accountability Act) ซึ่งกำหนดให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องเปิดการสอบสวนและพิจารณาว่าสมควรใช้มาตรการคว่ำบาตรหรือไม่ โดยกฎหมายนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อเกิดคดีที่ต้องสงสัยว่าเป็นการสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม การทรมาน หรือการละเมิดสิทธิของบุคคลซึ่งใช้เสรีภาพในการแสดงออก

บ็อบ คอร์เกอร์ ประธานคณะกรรมการความสัมพันธ์ต่างชาติของวุฒิสภาสหรัฐฯ เตือนว่า หากรัฐบาลซาอุฯ สั่งอุ้มฆ่า คาช็อกกี จริงก็จะทำให้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมอิหร่านของสหรัฐฯ ยุ่งยากขึ้น

“มันจะส่งผลกระทบต่อภารกิจสำคัญหลายอย่างที่เราทำร่วมกับซาอุฯ” คอร์เกอร์ ระบุ พร้อมยอมรับว่าวุฒิสภาสหรัฐฯ กับซาอุฯ นั้นไม่ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว

เน็ด ไพรซ์ ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลโอบามา เชื่อว่าเรื่องของ คาช็อกกี จะไม่ทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และซาอุฯ เปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่สภาคองเกรสจะยื่นมือเข้าแทรกแซง เช่น ลงมติให้ตัดลดงบประมาณที่เพนตากอนสนับสนุนพันธมิตรซาอุฯ ในการทำสงครามเยเมน และออกมาตรการคว่ำบาตรริยาด เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น