(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
US seeks more tanker aircraft to counter China
By Bertil Lintner
13/10/2018
สหรัฐฯกำลังวางแผนเพิ่มฝูงเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ เนื่องจากเครื่องบินประเภทนี้เป็นกุญแจสำคัญประการหนึ่งสำหรับการดำเนินยุทธศาสตร์ของวอชิงตัน ที่จะให้เครื่องบินทิ้งระเบิดของตนสามารถปรากฏตัวห่างจากชายฝั่งของตนเองได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะ
สหรัฐฯจำเป็นต้องมีฝูงเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศเพิ่มมากขึ้น เพื่อแข่งขันกับกองทัพจีนที่ทรงอำนาจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “เสียงอเมริกา” (Voice of America หรือ VOA) สถานีวิทยุที่ได้รับงบประมาณการดำเนินงานจากรัฐบาลสหรัฐฯรายงานเอาไว้เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา
“ความท้าทายสำคัญในภูมิภาคแปซิฟิกก็คือความโหดร้ายของระยะทาง และนี่หมายความว่าฝูงเครื่องบินเติมน้ำมันมีความสำคัญอย่างยิ่ง” เสียงอเมริการายงานอ้างอิงคำพูดของรัฐมนตรีทบวงกองทัพอากาศสหรัฐฯ (US Air Force Secretary) ฮีทเทอร์ วิลสัน (Heather Wilson)
เมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพอากาศสหรัฐฯเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มจำนวนฝูงเครื่องบินเติมน้ำมัน ซึ่งทำหน้าที่เติมเชื้อเพลิงให้แก่เที่ยวบินต่างๆ ขณะกำลังเดินทางอยู่กลางอากาศ จากจำนวนที่มีอยู่ 40 ฝูงบินเวลานี้ เป็น 54 ฝูงบินภายในปี 2030
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-52 ของอเมริกัน ได้ออกปฏิบัติการเคลื่อนที่ทางไกล ในน่านฟ้าสากลผ่านทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเพนตากอนบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “การปรากฏตัวของเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง” ของตน แต่จีนเรียกว่าเป็นพฤติการณ์ “ยั่วยุ”
ตามรายงานของเสียงอเมริกา แผนการเพิ่มฝูงเครื่องบินเติมน้ำมันใหม่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอการเพิ่มสมรรถนะกองทัพอากาศสหรัฐฯให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และก็เป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์กลาโหมแห่งชาติ” (National Defense Strategy) ฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ แก่เรื่องการแข่งขันช่วงชิงอำนาจความเป็นใหญ่กับรัสเซียและจีน มากกว่าเรื่องความพยายามในการต่อสู้การก่อการร้ายของคณะบริหารสหรัฐฯชุดก่อนๆ
อย่างไรก็ดี แผนการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากพวกเสรีนิยมตลอดจนพวกอนุรักษนิยม ผู้ซึ่งโต้แย้งว่าการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายทางทหารเป็นการเพิ่มปริมาณหนี้สินภาคสาธารณะของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาซึ่งบรรดาสมาชิกรัฐสภาทั้งหลายควรจะต้องดำเนินการตัดลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง
ทางด้านรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จิม แมตทิส ตอบโต้กลับว่า การใช้จ่ายด้านกลาโหมเหล่านี้ “มันมีราคาแพงมาก เรายอมรับในเรื่องนี้ แต่มันก็ยังคงแพงน้อยกว่าการเข้าสู้รบทำสงครามกับใครบางคนซึ่งคิดว่าเรานั้นอ่อนแอจนพวกเขาสามารถคิดเอาเปรียบคิดหาประโยชน์จากเราได้"