รอยเตอร์ - ศาลโลกในวันพุธ (3 ต.ค.) ออกคำสั่งให้สหรัฐฯ รับประกันว่ามาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานอิหร่าน ซึ่งจะยกระดับเข้มข้นขึ้นในเดือนหน้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมหรือความปลอดภัยการบินพลเรือน
พวกผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มอบชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ แก่เตหะราน ซึ่งโต้แย้งว่ามาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ นั้นละเมิดสนธิสัญญาไมตรีปี 1955 ระหว่างสองชาติ
อย่างไรก็ตาม ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธการตัดสินใจดังกล่าว โดยบอกว่าศาลสหประชาชาติแห่งนี้ซึ่งบ่อยครั้งถูกเรียกว่า “ศาลโลก” ไม่มีขอบเขตอำนาจในการตัดสินเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งทาง พอมเพโอ บอกว่ามันจำเป็นต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงสหรัฐฯ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกายังกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ ตัดสินใจยกเลิกสนธิสัญญามิตรภาพปี 1955 ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน หลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก มีคำวินิจฉัยว่า การที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน หลังจากที่ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในเดือนพฤษภาคม ถือเป็นการละเมิดเงื่อนไขในสนธิสัญญาดังกล่าว
พอมเพโอกล่าวว่า “ผมขอประกาศว่าสหรัฐฯ ได้ยกเลิกสนธิสัญญามิตรภาพปี 1955 กับทางอิหร่าน และนี่เป็นการดำเนินการที่ล่าช้าเกินไปถึง 39 ปี” พอมเพโอกล่าวระหว่างแถลงข่าว พร้อมระบุอิหร่านกำลังดูหมิ่นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองและโฆษณาชวนเชื่อ
พอมเพโอบอกว่าสหรัฐฯ ได้ใช้หลายมาตรการแล้ว สำหรับรับประกันว่ามาตรการคว่ำบาตรต่างๆจะไม่ส่งผลกระทบต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งของศาลแต่อย่างใด
คำสั่งของศาลที่ประกาศในวันพุธ (3 ต.ค.) เป็นคำสั่งชั่วคราว ระหว่างรอคำตัดสินคดีที่อิหร่านยื่นฟ้องร้องวอชิงตันต่อศาล ICJ ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีนานหลายปี
ด้านกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านระบุในถ้อยแถลงว่า “การตัดสินใจของศาลเป็นข้อพิสูจน์อีกครั้งว่าอิหร่านนั้นถูกต้องและมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อประชาชนและพลเมืองของเรานั้นไม่ชอบธรรมตามกฎหมายและป่าเถื่อน สหรัฐฯ ควรปฏิบัติตามพันธสัญญาระหว่างประเทศและยกเลิกอุปสรรคขัดขวางการค้าของอิหร่าน”
ศาล ICJ คือศาลสูงสุดของสหประชาชาติสำหรับคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ คำตัดสินของพวกเขานั้นมีพันธะผูกพัน แต่ไม่มีอำนาจบังคับให้ปฏิบัติตาม ซึ่งที่ผ่านมาทั้งสหรัฐฯและอิหร่านต่างก็เคยเพกเฉยต่อคำสั่งของศาล ICJ มาแล้ว
ในคำสั่ง ศาลบอกว่าคำสัญญาของวอชิงตันที่รับประกันว่ามาตรการคว่ำบาตรจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้านมนุษยธรรมนั้นไม่เพียงพอ “มาตรการคว่ำบาตรต้องไม่กระทบต่อการส่งออกสินค้าต่างๆที่มีความจำเป็นด้านมนุษยธรรมสู่อิหร่าน อย่างเช่นยารักษาโรค, เครื่องมือทางการแพทย์, เครื่องบริโภค, สินค้าโภคภัณฑ์ด้านการเกษตร เช่นเดียวกับสินค้าและการบริการที่จำเป็นสำหรับความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน”
ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ในหลักการแล้วได้ยกเว้นอาหารและเสบียงด้านการแพทย์ แต่ศาลบอกว่า “มันเป็นเรื่องยากสำหรับอิหร่าน พลเมืองและบริษัทอิหร่าน ในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศสำหรับซื้อสินค้าเหล่านั้น”
รัฐบาลทรัมป์ได้โต้แย้งเมื่อเดือนที่แล้วว่า คำร้องขอของอิหร่านคือความพยายามชี้นำในทางที่ผิดต่อศาลและสนธิสัญญา 1955 เจาะจงปฏิเสธใช้ศาลคลี่คลายข้อขัดแย้ง
อนึ่ง สนธิสัญญาดังกล่าวลงนามก่อนหน้าเกิดปฏิวัติอิสลามอิหร่านปี 1979 เหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างสองประเทศสิ้นสุดลง