เอเอฟพี - อดีตทูตสิงคโปร์ประจำองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องวันนี้ (25 ก.ย.) ให้มีการยกเลิกกฎหมายที่ระบุว่าการมีเซ็กซ์เพศเดียวกันเป็นอาชญากรรม โดยชี้ว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐสมัยใหม่อย่างสิงคโปร์จะหันหลังให้กฎหมายที่ ‘ล้าสมัย’
คำพิพากษาของศาลสูงสุดอินเดียซึ่งเพิกถอนความผิดอาญาสำหรับการมีเซ็กซ์เพศเดียวกันเมื่อต้นเดือนนี้ได้จุดกระแสอภิปรายอย่างกว้างขวางในสิงคโปร์ และมีการเสนอให้รัฐบาลเกาะสิงห์ยกเลิกกฎหมายต่อต้านเซ็กซ์เกย์เช่นกัน
ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้ชายถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 377A ของสิงคโปร์ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ แม้จะแทบไม่เคยบังคับใช้จริงก็ตาม
ทอมมี โก๊ะห์ (Tommy Koh) อดีตเอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำยูเอ็นและสหรัฐฯ ได้เขียนคอลัมน์ลงในหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์สว่า กฎหมายมาตรานี้สมควรจะเลิกใช้เสียที
“มาตรา 377A เป็นกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ และสมควรถูกยกเลิก” โก๊ะห์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ระบุ
อดีตนักการทูตวัย 80 ปีชี้ว่า สิงคโปร์เป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังมีกฎหมายต่อต้านพฤติกรรมรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากกฎหมายอาญาอังกฤษในยุคเก่า
“สำหรับประเทศที่ให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่นสิงคโปร์ เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่กฎหมายข้อนี้ไม่เคยถูกปรับแก้ให้สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์” เขากล่าว
โก๊ะห์ อ้างถึงกรณีที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การมีรสนิยมรักร่วมเพศไม่ใช่ปัญหาทางจิต (mental disorders) และแม้ผู้นำศาสนาต่างๆ จะถือว่ารักร่วมเพศเป็นบาป แต่ก็ไม่ใช่เหตุที่จะนำมาอ้างเป็นความผิดอาญา
ก่อนหน้านี้ เคยมีความพยายามเคลื่อนไหวต่อต้านกฎหมายมาตรา 377A เมื่อปี 2014 แต่ศาลอุทธรณ์สิงคโปร์สั่งยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าเป็นอำนาจของรัฐสภาในการยกเลิกกฎหมาย
จอห์นสัน ออง หรือ ‘ดีเจบิ๊กคิด’ ชาวสิงคโปร์ ได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านกฎหมายนี้อีกครั้งเมื่อต้นเดือนนี้ โดยทนายของเขาอ้างว่ามาตรา 377A นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งให้การรับรองเสรีภาพบุคคล
แม้ทัศนคติที่ทางการสิงคโปร์มีต่อกลุ่มคนรักร่วมเพศจะยังค่อนไปทางในอนุรักษนิยม แต่กระแสสนับสนุนสิทธิเกย์ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมพาเหรด Pink Dot เพื่อคนรักร่วมเพศที่มีผู้เข้าร่วมปีละหลายพันคน