เอเอฟพี - อิบราฮิม โมฮาเหม็ด ซอลิห์ (Ibrahim Mohamed Solih) ผู้นำฝ่ายค้านมัลดีฟส์ คว้าชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบพลิกล็อคหักปากกาเซียนวันนี้ (24 ก.ย.) ปิดโอกาสในการรั้งเก้าอี้ของประธานาธิบดี อับดุลลา ยามีน ทั้งที่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีการเล่นตุกติกเพื่อช่วยให้ผู้นำแกร่งคนนี้ยื้ออำนาจไว้ได้ต่อไป
คณะกรรมการการเลือกตั้งมัลดีสฟ์ได้ประกาศผลการนับคะแนนเมื่อช่วงเช้า โดยระบุว่า ซอลิห์ เป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนนโหวตถึง 58.3%
กลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายค้านต่างออกมาร้องรำทำเพลงเพื่อฉลองชัยชนะให้แก่ ซอลิห์ และพรรคประชาธิปไตยมัลดีฟส์ (MDP) ขณะที่ประธานาธิบดี ยามีน ยังคงไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ หลังทราบผลอย่างเป็นทางการ
ซอลิห์ ได้รับการสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฝ่ายค้านที่ต้องการโค่นล้ม ยามีน แต่ก็ต้องดิ้นรนหาเสียงอย่างยากลำบากพอสมควร เนื่องจากสื่อมวลชนต่างเกรงกลัวบทลงโทษของรัฐบาลและมีข้อจำกัดในการรายงานข่าว
ศึกเลือกตั้งคราวนี้ถือเป็นการดวลกันตัวๆ ระหว่าง ยามีน กับ ซอลิห์ เนื่องจากแกนนำฝ่ายค้านคนอื่นๆ ล้วนถูกจำคุก หรือไม่ก็ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ
ซอลิห์ ออกมาเรียกร้องตั้งแต่กลางดึกให้ ยามีน ยอมรับความพ่ายแพ้ หลังผลการนับคะแนนเบื้องต้นชี้ว่าตนเองมีคะแนนนำโด่งจนยากที่ประธานาธิบดีจะไล่ตามทัน
“ผมขอให้ประธานาธิบดี ยามีน เคารพความปรารถนาของประชาชน เพื่อให้การส่งมอบอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่นและสันติ” เขาแถลงผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้นำมัลดีฟส์ออกคำสั่งปล่อยตัวนักโทษการเมือง
ก่อนที่จะเปิดหีบลงคะแนน ตำรวจได้บุกไปยังสำนักงานของพรรค MDP และค้นอาคารอยู่นานหลายชั่วโมงโดยอ้างว่าเพื่อ ‘ขัดขวางกิจกรรมผิดกฎหมาย’ ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่มีใครถูกจับ
ด้านอดีตประธานาธิบดี โมฮาเหม็ด นาชีด ซึ่งเป็นประธานพรรค MDP ชี้ว่า ผลการเลือกตั้งคราวนี้ "จะนำประเทศกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย" และ ยามีน ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยอมรับความพ่ายแพ้
นาชีด เป็นผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยคนแรกของมัลดีฟส์ แต่ปัจจุบันลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ
“จะไม่มีใครคอยห้อมล้อมสนับสนุนเขาให้สู้เพื่อยื้ออำนาจต่อไปอีก” นาชีด ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
ศึกเลือกตั้งผู้นำมัลดีฟส์ถูกจับตามองโดยมหาอำนาจคู่แข่งอย่างอินเดียและจีนซึ่งพยายามเข้าไปมีอิทธิพลในกลุ่มประเทศแถบมหาสมุทรอินเดีย ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ ก็ขู่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรหากการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ขยายเวลาปิดหีบออกไปอีก 3 ชั่วโมงจนถึง 19.00 น. เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง และเจ้าหน้าที่ต้องใช้ระบบแมนนวลตรวจสอบตัวตนของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนราว 262,000 คนทั่วประเทศ ซึ่งต่อมามีการประกาศยืนยันว่าประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิ์กันอย่างล้นหลามถึง 88%
รัฐบาลมัลดีฟส์ได้สั่งแบนผู้สังเกตการณ์ต่างชาติ และมีสื่อต่างประเทศเพียงไม่กี่สำนักที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าวการเลือกตั้งครั้งนี้
เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (The Asian Network for Free Elections) ซึ่งถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ ระบุว่า การรณรงค์หาเสียงถูกทำให้เอื้อต่อ ยามีน วัย 59 ปี มากเป็นพิเศษ ขณะที่องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ ชี้ว่า รัฐบาลมัลดีฟส์อ้างกฎหมายที่มีเนื้อหาคลุมเครือมาปิดปากผู้ต่อต้าน ทั้งยังข่มขู่และจับกุมนักวิจารณ์หลายคน โดยบางคนถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฆาตกรรม