เอเอฟพี - สื่อดังของสหรัฐฯ ออกมาแฉวานนี้ (21 ก.ย.) ว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมเคยพยายามหาวิธีปลดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งด้วยเหตุ ‘ไร้ความสามารถ’ หลังจากที่ ทรัมป์ เพิ่งจะเข้าบริหารประเทศได้เพียงไม่กี่เดือน
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สและวอชิงตันโพสต์รายงานว่า รัฐมนตรีช่วยยุติธรรม ร็อด โรเซนสไตน์ เคยเสนอไอเดียเมื่อเดือน พ.ค. ปี 2017 ให้เจ้าหน้าที่แอบบันทึกเสียง ทรัมป์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันความปั่นป่วนภายในทำเนียบขาว ซึ่งอาจจะนำไปสู่กระบวนการถอดถอนผู้นำสหรัฐฯ ได้
ข่าวซึ่งถูกปล่อยออกมาสดๆ ร้อนๆ ตามหลังหนังสือแฉความเป็นไปในรัฐบาลทรัมป์ของนักข่าวรุ่นลายคราม ‘บ็อบ วูดเวิร์ด’ ยิ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของ ทรัมป์ ว่าจะเป็นประธานาธิบดีที่ดีได้ และพยายามหาทางเตะสกัดเขาอยู่
โรเซนสไตน์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยฯ ต้องเข้ามารับหน้าที่ดูแลกระบวนการสอบสวนเรื่องรัสเซียแทรกแซงศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2016 หลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เจฟฟ์ เซสชันส์ ประกาศปลีกตัวไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งนิวยอร์กไทม์สและวอชิงตันโพสต์อ้างบันทึกลับของอดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) คนหนึ่ง ซึ่งบางคนเชื่อว่าน่าจะถูกปล่อยออกมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ โรเซนสไตน์ รวมถึงอัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์ ด้วย
โรเซนสไตน์ ออกมาแถลงตอบโต้รายงานดังกล่าวว่า “ไม่แม่นยำและผิดจากความเป็นจริง”
“ผมไม่เคยคิดหาวิธีหรืออนุญาตให้มีการบันทึกเสียงของประธานาธิบดี และเรื่องที่ว่าผมเคยเสนอให้ถอดถออนประธานาธิบดีก็ไม่เป็นความจริง” เขากล่าว
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยังได้เผยแพร่คำแถลงจากอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งซึ่ง “อยู่ในเหตุการณ์” และยืนยันว่าสิ่งที่ โรเซนสไตน์ พูดนั้นเป็นแค่การล้อเล่น
“มันก็แค่คำพูดประชดประชัน และเราไม่เคยหารือกันอย่างจริงจังว่าจะแอบบันทึกเสียงสนทนาของประธานาธิบดี” อดีตเจ้าหน้าที่ ระบุ
โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายคนหัวปีของผู้นำสหรัฐฯ ออกมาชี้ว่า นี่คือสิ่งยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่บางคนไม่ซื่อสัตย์ภักดีต่อบิดาของตน ขณะที่ ไมค์ ฮักคาบี พันธมิตรของทรัมป์ในพรรครีพับลิกัน ก็ออกมาเรียกร้องให้ เซสชันส์ สั่งปลด โรเซนสไตน์ แต่หากไม่ยอมก็ให้ ทรัมป์ ใช้อำนาจปลดทั้งคู่พร้อมกันเสียเลย
รายงานล่าสุดนี้อาศัยข้อมูลจากบันทึกลับของ แอนดรูว์ แมคเคบ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ ที่เขียนสรุปผลการหารือกับ โรเซนสไตน์ และเนื่องจาก โรเซนสไตน์ เป็นผู้ควบคุมกระบวนการสอบสวนเรื่องรัสเซีย จึงมีข้อสันนิษฐานว่าใครบางคนอาจจงใจปล่อยบันทึกนี้ออกมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐมนตรีช่วยยุติธรรม และขยายผลไปถึง มุลเลอร์ มากกว่าจะตั้งใจให้เกิดผลเสียต่อ ทรัมป์
โรเซนสไตน์ ได้แต่งตั้ง มุลเลอร์ เป็นอัยการพิเศษคุมสอบคดีรัสเซียป่วนเลือกตั้งเมื่อปี 2017
หลังจากนำตัวอดีตคนสนิท ทรัมป์ มาดำเนินคดีได้แล้วถึง 7 คน ล่าสุดดูเหมือนว่ากระบวนการสอบสวนของ มุลเลอร์ จะสร้างแรงกดดันต่อทำเนียบขาวและตัว ทรัมป์ มากขึ้นเรื่อยๆ
ทรัมป์ ไม่ได้ออกมาแถลงตอบโต้รายงานของนิวยอร์กไทม์สและวอชิงตันโพสต์ แต่ระหว่างปราศรัยที่รัฐมิสซูรีเมื่อค่ำวานนี้ (21) เขาได้อ้างถึง “สิ่งที่ถูกเปิดเผยในกระทรวงยุติธรรมและเอฟบีไอ”
“เรามีคนเลวๆ อยู่บ้าง คุณก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเอฟบีไอ พวกเขาไปหมดแล้ว... แต่ยังมีกลิ่นเหม็นตุๆ หลงเหลืออยู่ และเราจะกำจัดมันให้หมด” ทรัมป์ กล่าว
ชัค ชูเมอร์ แกนนำ ส.ว. เดโมแครต ออกมาพูดดักคอ ทรัมป์ ทันควันว่าอย่าใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างปลด โรเซนสไตน์
“เรื่องนี้ไม่สมควรถูกใช้เป็นข้ออ้างสั่งปลดรัฐมนตรีช่วยยุติธรรม ร็อด โรเซนสไตน์ เพื่อที่จะแต่งตั้งบุคคลอื่นที่จะปล่อยให้ประธานาธิบดีแทรกแซงการสอบสวนของอัยการพิเศษ” ชูเมอร์ กล่าว
นิวยอร์กไทม์ส ระบุว่า โรเซนสไตน์ ได้อ้างถึงบทแก้ไขรัฐธรรมนูญอเมริกันครั้งที่ 25 ซึ่งกำหนดขั้นตอนการถอดถอนประธานาธิบดีที่ไร้ความสามารถ และข้อเสนอของเขามีขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ สั่งปลดอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์
สื่อฉบับนี้ระบุด้วยว่า โรเซนสไตน์ รู้สึกอึดอัดที่ถูก ทรัมป์ ใช้เป็นเครื่องมือปลด โคมีย์ และยังกังวลเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในทำเนียบขาว