เอเอฟพี - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกคำสั่งลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศเมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) เพื่อร่วมไว้อาลัยการจากไปของ จอห์น แม็กเคน ส.ว.รีพับลิกันคู่อริ หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ไม่ยอมออกถ้อยแถลงยกย่องวีรบุรุษสงครามในวาระสุดท้าย
ท่าทีลดราวาศอกของ ทรัมป์ มีขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากเหล่าทหารผ่านศึกให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยกย่อง แม็กเคน ให้สมกับเกียรติประวัติของเขา ซึ่งเป็นอดีตทหารเรือที่ร่วมรบในสงครามเวียดนามและตกเป็นเชลยศึกนานกว่า 5 ปี
“ถึงแม้เราจะเห็นต่างในแง่ของนโยบายและการเมือง แต่ผมเคารพในสิ่งที่ ส.ว.จอห์น แม็กเคน ได้อุทิศต่อชาติบ้านเมืองของเรา” ทรัมป์ ระบุในถ้อยแถลง พร้อมสั่งให้ทำเนียบขาวและหน่วยงานของรัฐทั่วประเทศลดธงครึ่งเสาไปกว่าร่างของ แม็กเคน จะประกอบพิธีฝังในวันอาทิตย์ (2 ก.ย.)
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวได้ลดธงชาติลงหลังจาก แม็กเคน เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (25) แต่กลับชักธงขึ้นสู่ยอดเสาอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ (27)
การที่ ทรัมป์ ทำนิ่งเฉยต่อมรณกรรมของแม็กเคน ในช่วงแรกๆ ส่งผลให้ผู้นำสหรัฐฯ ถูกโดดเดี่ยว และจุดกระแสวิจารณ์ว่า ทรัมป์ ไร้ความสามารถแม้แต่จะรวมจิตใจคนอเมริกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อไว้อาลัยแก่วีรบุรุษและนักการเมืองอาวุโส
ริค เดวิส อดีตผู้จัดการทีมหาเสียงของ แม็กเคน ยืนยันว่า ทรัมป์ จะไม่เดินทางไปร่วมพิธีศพ แต่จะมอบหมายให้รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ เป็นผู้กล่าวคำไว้อาลัยแก่ แม็กเคน ที่รัฐสภาในวันศุกร์นี้ (31)
จอห์น เคลลี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เจมส์ แมตทิส และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ จอห์น โบลตัน จะเป็นผู้แทนรัฐบาล ทรัมป์ ไปร่วมพิธีศพของแม็กเคน ซึ่งถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งสมองในวัย 81 ปี
เดวิส ได้นำถ้อยแถลงที่ แมคเคน ร่างเอาไว้ก่อนจะเสียชีวิตมาอ่านเผยแพร่ต่อสาธารณชนที่เมืองฟีนิกซ์ โดย แม็กเคน ระบุว่า “ความยิ่งใหญ่ของชาติจะอ่อนด้อยลง เมื่อเราสับสนระหว่างความรักชาติ (patriotism) กับการต่อสู้แข่งขันเยี่ยงชนเผ่า (tribal rivalries) ซึ่งก่อให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ความเกลียดชัง และความรุนแรงไปทั่วทุกมุมโลก”
แม็กเคน ยังเหน็บแนมนโยบายสร้างกำแพงกั้นเม็กซิโกของ ทรัมป์ โดยระบุว่า “เรากำลังทำให้ชาติอ่อนแอ เมื่อเราเลือกที่จะหลบอยู่หลังกำแพงมากกว่าจะทลายมันลง เมื่อเราตั้งคำถามกับพลังแห่งอุดมคติของเรา มากกว่าจะเชื่อมั่นว่ามันคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง”
“ผมใช้ชีวิตและตายลงอย่างชาวอเมริกันที่มีความภาคภูมิ เราคือพลเมืองของสาธารณรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ชาติแห่งอุดมอคติ ไม่ใช่เลือดและดิน (blood and soil)”
“จงอย่าท้อแท้กับความยากลำบากที่เราเผชิญอยู่ แต่จงเชื่อเสมอในคำสัญญาและความยิ่งใหญ่ของอเมริกา เพราะที่นี่ไม่มีอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” และตนเชื่อว่าสหรัฐอเมริกา “จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้”
แม็กเคน ซึ่งเป็น ส.ว.รัฐแอริโซนามานานกว่า 30 ปี แสดงตัวเป็นปรปักษ์กับ ทรัมป์ เรื่อยมา แม้จะทั้งคู่จะสังกัดพรรครีพับลิกันเหมือนกันก็ตาม
รากเหง้าแห่งความเป็นปรปักษ์ระหว่างทั้งคู่มีจุดเริ่มต้นย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ ทรัมป์ ประกาศลงสมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายน 2015 โดยชี้ว่าพวกคนเข้าเมืองเม็กซิโกจำนวนมากเป็นอาชญากร และโจรข่มขืน
แม็กเคน วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของ ทรัมป์ ว่าเป็นการ “กระตุ้นคนบ้า” ส่วน ทรัมป์ตอบโต้โดยเรียก ส.ว.จากแอริโซนาผู้นี้ว่า “คนโง่” เนื่องจาก แม็กเคน ได้คะแนนต่ำสุดในชั้นสมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนนายเรือ
ทรัมป์ ยังเคยกล่าวโจมตี แม็กเคน ในการทำหน้าที่ทหาร โดยระบุว่า “เขาได้เป็นวีรบุรุษเพราะถูกจับเป็นเชลยสงคราม ผมชอบวีรบุรุษที่ไม่ถูกจับมากกว่า”
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว, จอห์น เคลลี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบ และบุคลากรอาวุโสอื่นๆ ต่างสนับสนุนให้ประธานาธิบดีออกคำแถลงยกย่อง แมคเคน เป็นวีรบุรุษ แต่ ทรัมป์ กับเลือกที่จะทวีตข้อความสั้นๆ
“ขอแสดงความเห็นใจและความเคารพไปยังครอบครัวของ ส.ว.จอห์น แม็กเคน... เราส่งใจและขอร่วมภาวนาไปกับคุณ”
นี่คือข้อความเดียวจากผู้นำสหรัฐฯ นับตั้งแต่ แม็กเคน ถึงแก่กรรม จนกระทั่งทำเนียบขาวได้ออกคำแถลงล่าสุดเมื่อวานนี้ (27)
ครอบครัวจะนำศพของแม็กเคน ไปประกอบพิธีฝังที่โรงเรียนนายเรือ (US Naval Academy) เมืองแอนนาโปลิส รัฐแมริแลนด์ ในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ย.