เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - สื่อสิงคโปร์รายงาน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันมาเลเซียยังคงอยู่ร่วมกับข้อตกลงการค้าเสรีรอบมหาสมุทรแปซิฟิกใหม่ CPTPP ซึ่งมี 11 ชาติลงนามร่วม พร้อมชี้ข้อดีสหรัฐฯไม่ร่วม เงื่อนไขบริษัทกลุ่มทุนสามารถฟ้องรัฐถูกถอดออก แถมลดแรงอิทธิพลกดดันจากสหรัฐฯเหนือชาติอื่น
หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ของสิงคโปร์รายงานวันนี้(27 ส.ค)ว่า จากการเปิดเผยล่าสุดจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มหาเธร์ โมฮัมหมัด ถึงจุดยืน "มาเลเซีย" ต่อข้อตกลงการค้าเสรีความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก CPTPP (Comprehensive and Progressive for Trans-Pacific Partnership)จากการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำแดนเสือเหลืองชี้ว่า ทางมาเลเซียยังคงร่วมอยู่กับข้อตกลงถึงแม้ว่าสหรัฐฯจะถอนตัวออกไปแล้ว
ข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP ที่มีญี่ปุ่นและออสเตรเลียเป็นผู้ผลักดันและมี 11 ชาติเข้าร่วมรวมไปถึงมาเลเซีย และคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีหน้า โดยในระหว่างนี้ชาติสมาชิกที่ได้ร่วมลงนามจำเป็นต้องให้รัฐสภาของชาตินั้นๆให้สัตยาบันเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าในเวลานี้คณะครม.ของมหาเธร์นั่งไม่ติดเนื่องจากมีแรงกดดันในความที่ต้องการให้มาเลเซียทำการให้สัตยาบันข้อตกลง แต่ทว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์ภายในประเทศของแดนเสือเหลืองกลับมีความเห็นสนับสนุนแลคัดค้านขัดแย้ง เพราะเป็นที่รู้ดีว่าหากว่าไม่มีการให้การรับรองจะทำให้เสมือนว่ามาเลเซียถอนตัวจากข้อตกลงการค้าเสรีนี้ โดยในค่ายที่ต้องการเดินหน้า ชี้ว่าการถอนตัวออกไปจะเป็นการทำร้ายภาคธุรกิจของมาเลเซีย และในฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่างชี้ว่า ข้อตกลงนี้ไม่ได้ให้ผลดีกับประชาชนมาเลย์ที่ยากไร้ เป็นต้น
โดยล่าสุดในช่วงกลางเดือนนี้ สื่อธุรกิจมาเลเซีย ดิเอ็ดจ์มาร์เก็ตส์(theedgemarkets)รายงานความเห็นของรัฐมนตรีการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมมาเลเซีย ดาร์เรล ไหลกิง(Darrell Leiking) กล่าวว่า มหาเธร์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า จะยังคงเดินหน้าข้อตกลง CPTPP ที่ถูกลงนามในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค หรือไม่
โดยเขาให้คำอธิบายว่า เป็นเพราะการลงนามเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ทำให้ในเวลานี้ทางรัฐบาลมาเลเซียยังคงต้องฟัง ตรวจสอบ และดูว่ามันจะดำเนินไปในทิศทางใด
นอกจากนี้ทางรัฐมนตรีไหลกิงยังชี้ต่อว่า กระบวนการถอยหลังกลับคงเป็นไปไม่ได้ แต่ทว่าทางมาเลเซียสามารถกระทำได้คือการให้สัตยาบันในเวลานี้หรือกระทำในภายหลังเท่านั้น
สเตรทไทม์รายงานว่า ในการกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ของไทย มหาเธร์กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “รัฐบาลชุดที่แล้วของมาเลเซียได้ร่วมลงนามเพื่อเป็นสมาชิก ทำให้ทางเราไม่สามารถถอนตัวออกไปโดยที่ไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือได้ ดังนั้นเราจึงจะเดินหน้าต่อไปกับข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP”
ซึ่งการตอบคำถามของมหาเธร์ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า คำตอบของผู้นำมาเลเซียเป็นเสมือนสัญญาณที่ทุกคนต่างเฝ้ารอมานานในการยืนยันพันธสัญญาของมาเลเซียที่มีต่อข้อตกลงนี้ และอีกทั้งยังเป็นการทำให้นโยบายทางการค้าภายใต้รัฐบาลมาเลเซียมีความชัดเจนมากขึ้น สเตรทไทม์ชี้
และมาจนถึงเวลานี้มีเพียง 3 ชาติจากทั้งหมด 11 ชาติสมาชิกได้แก่ สิงคโปร์ เม็กซิโก และญี่ปุ่น ที่ได้ให้สัตยาบัน ในขณะที่ออสเตรเลียและชิลีประกาศจะทำการให้สัตยาบันภายในสิ้นปีนี้
สำหรับฝ่ายไทยพบว่านายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความสนใจในข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ CPTPP เช่นกันถึงแม้ว่าในเวลานี้จะไม่มีสหรัฐฯเข้าร่วม
สื่อธุรกิจไทยรายงานเมื่อวันจันทร์(20)ที่ผ่านมาว่า โดยในส่วนการศึกษาพบว่า ทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ว่าจ้างบริษัทโบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี (Bolliger & Company (Thailand) Ltd.) บริษัทที่ปรึกษาเชิงยุทธศาสตรและนโยบาย ที่มีดร.รัชดา เจียสกุล เป็นหุ้นส่วนและกรรมการผู้จัดการ
โดยบริษัทถูกว่าจ้างให้ทำหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษาโครงการศึกษาความพร้อม ประโยชน์ ปัญหา อุปสรรค การเข้าร่วม CPTPP
ซึ่งสำหรับข้อตกลงการค้าที่มีรายละเอียดความยาวจำนวน 8,000 หน้า ครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้อง 30 ประเด็น อาทิ นิยามทั่วไป การเข้าถึงตลาดสินค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรการเยียวยาทางการค้า และมาตรการการสุขอนามัยพืช
สำหรับในประเด็นของไทย อ้างอิงจาก ดร.รัชดา ในรายงานของสื่อธุรกิจไทย พบว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นโยบายการแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงานและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ทางสังคมไทยให้ความสนใจ
ซึ่งทางไทยมีความกังวลในประเด็นสิทธิบัตรยา สิทธิบัตรพืชและสัตว์ เนื่องจากเกรงว่า ข้อตกลงนี้จะกีดกัน “บริษัทผู้ผลิตยาของไทย” ไม่สามารถใช้ข้อมูลทดลองทางเทคนิคที่มีอยู่เดิมมาขึ้นทะเบียนยาสามัญ
และไทยยังต้องถูกบังคับให้ขยายการคุ้มครองเพื่อให้ครอบคลุมพืชและสัตว์ และจำเป็นต้องเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาUPOV และอาจส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น รวมไปถึงอาจทำให้เป็นการเปิดโอกาสแก่พวก “โจรสลัดชีวภาพ ” ( Biopiracy ) หรือ บุคคลหรือองค์กรที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยมิได้ขอรับอนุญาต และ/หรือมิได้มีการแบ่งปันผลประโยชน์คืนให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างเป็นธรรม โดยทรัพยากรชีวภาพที่ได้รับไปนั้นมักจะมีแนวโน้มถูกนำไปจดสิทธิบัตร ซึ่งมีผลทำให้เจ้าของทรัพยากรถูกกีดกันมิให้สามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนานั้นได้ อ้างอิงนิยามจากมหาวิทยาลัยบูรพา
ประเด็นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สหรัฐฯเคยผลักดันทั้งสิ้น
ทั้งนี้ในทัศนคติของมหาเธร์ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงความร่วมมือทางการค้าเสรีเดิม TPP ผู้นำมาเลเซียชี้แจงต่อทางสถานีโทรทัศน์ของไทยในการให้สัมภาษณ์อย่างน่าสนใจในจุดนี้ว่า
“หลังจากที่สหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้าเสรีรอบมหาสมุทรแปซิฟิก( TPP) ไปแล้ว เงื่อนไขเดิมที่อนุญาตให้บริษัทกลุ่มทุนสามารถฟ้องรัฐบาลได้ไม่มี และไม่ทำให้เราต้องวิตกอีกต่อไป และยังเป็นการลดอิทธิพลอย่างล้นเหลือของสหรัฐฯในการครอบงำต่อชาติอื่นๆ”