รอยเตอร์ - บริติชแอร์เวย์ส (British Airways) และแอร์ฟรานซ์ (Air France) ประกาศยกเลิกเที่ยวบินไป-กลับอิหร่านตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไปด้วยเหตุผลทางด้านธุรกิจ ภายหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่จะรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรเตหะราน
บริติชแอร์เวย์ส แถลงยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดี (23 ส.ค.) ว่าทางบริษัทมีแผนจะระงับเที่ยวบินจากลอนดอนไปยังเมืองหลวงอิหร่าน เนื่องจาก ‘ไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์’
บริติชแอร์เวย์สจะให้บริการเที่ยวบินสุดท้ายจากลอนดอนไปยังเตหะรานในวันที่ 22 ก.ย. และเดินทางกลับจากเตหะรานในวันที่ 23 ก.ย.
ด้านสายการบินแอร์ฟรานซ์ของฝรั่งเศสก็เตรียมที่จะระงับเที่ยวบินปารีส-เตหะรานตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. โดยโฆษกอ้างว่ามีจำนวนผู้โดยสารน้อยเกินไป
“เนื่องจากผู้โดยสารชั้นธุรกิจที่จะเดินทางไปอิหร่านลดลง เส้นทางบินนี้จึงไม่ทำกำไรอีกต่อไป” โฆษกแอร์ฟรานซ์ ระบุ
สายการบินลุฟต์ฮันซา (Lufthunsa) ของเยอรมนียืนยันว่ายังไม่มีแผนยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินไปกรุงเตหะรานในขณะนี้ แต่จะเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
สหภาพยุโรป (อียู) พยายามที่จะรักษาข้อตกลงควบคุมนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 ให้ดำรงอยู่ได้ต่อไป หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวดื้อๆ
มาตรการคว่ำบาตรใหม่ๆ ที่สหรัฐฯ เตรียมใช้ลงโทษอิหร่านจะเริ่มมีผลบังคับในเดือนนี้
อียูได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ 18 ล้านยูโรให้แก่อิหร่านเมื่อวันพฤหัสบดี (23) ซึ่งรวมถึงวงเงินอุดหนุนภาคเอกชนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจยับยั้งบริษัทยุโรปหลายแห่งที่ประกาศยกเลิกการลงทุน และถอนกิจการออกจากอิหร่านมากขึ้นเรื่อยๆ
สายการบินเคแอลเอ็ม (KLM) ของเนเธอร์แลนด์ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกับแอร์ฟรานซ์ ก็ได้ประกาศยกเลิกเที่ยวบินไปเตหะรานแล้วเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ได้ออกมาแสดงความชื่นชมเมื่อวันพฤหัสบดี (23) ที่สายการบินต่างชาติเริ่มทยอยหันหลังให้อิหร่าน
“วันนี้เราได้ทราบข่าวว่าสายการบินใหญ่ถึง 3 ราย ได้แก่ บริติชแอร์เวย์ส, เคแอลเอ็ม และแอร์ฟรานซ์ ตัดสินใจระงับกิจกรรมการบินในอิหร่าน นี่เป็นเรื่องที่ดี และหวังว่าสายการบินอื่นๆ จะทำตาม เพราะอิหร่านไม่สมควรได้รับรางวัลจากการทำตัวก้าวร้าวในภูมิภาค และการพยายามเผยแพร่ลัทธิก่อการร้ายให้กว้างไกลออกไป” ผู้นำยิวกล่าวระหว่างเดินทางเยือนลิทัวเนีย