เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.) ประกาศความต้องการเพิ่มอัตราราคาขายน้ำดิบจากรัฐยะโฮร์ให้กับสิงคโปร์อีกกว่า 10 เท่าจากราคาปกติ 30 เซน (cen) หรือราว 0.7 เซ็นต์สหรัฐ ต่อ 1,000 แกลลอน ชี้เป็นราคามูลนิธิไม่ตอบสนองต่อค่าครองชีพปัจจุบัน
หนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ของสิงคโปร์รายงานวันนี้ (14 ส.ค.) ว่า ทั้งนี้ ข้อตกลงการซื้อขายน้ำระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์จะสิ้นสุดลงในปี 2061 ซึ่งทางสิงคโปร์ได้สั่งซื้อน้ำดิบจำนวน 250 ล้านแกลลอนต่อวันจากแม่น้ำยะโฮร์ของมาเลเซีย และรัฐยะโฮร์มีหน้าที่ต้องซื้อน้ำที่ได้รับการบำบัดจากสิงคโปร์
สิงคโปร์จ่าย 3 เซน (cen) (0.7 เซ็นต์สหรัฐ) ต่อ 1,000 แกลลอนของน้ำดิบ และได้ขายน้ำที่ได้รับการบำบัดแล้วกลับไปให้กับรัฐยะโฮร์ในราคา 50 เซน (12 เซ็นต์สหรัฐ) ต่อ 1,000 แกลลอน ซึ่งสิงคโปร์ได้กล่าวว่าราคานี้เป็นอัตราที่ได้รับการถูกอุดหนุนอย่างมาก และต่ำกว่าค่าใช้จ่ายของการบำบัด
นิวสเตรทไทม์ชี้ว่า ทางมาเลเซียเลือกที่จะไม่พิจารณาเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงเวลาที่มีโอกาสเมื่อปี 1987 แต่ทว่าการพูดคุยเกิดขึ้นเมื่อมหาเธร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเวลานั้น ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ในปี 1988 แต่การเจรจาไม่ได้จบลงด้วยข้อตกลงใหม่
ในการให้สัมภาษณ์กับเอพีในวันจันทร์ (13) มหาเธร์กล่าวว่า รัฐยะโฮร์ได้ขายน้ำดิบต่อรัฐมะละกาในอัตรา 30 เซนต่อ 1,000 แกลลอนนั้นเป็นราคาของมูลนิธิซึ่งสามารถยอมรับได้ในอัตราภายในประเทศ
“แต่สำหรับต่างประเทศ เราจำเป็นต้องได้มากกว่านั้น” มหาเธร์กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ได้เคยกล่าวในเดือนที่ผ่านมาว่า สิงคโปร์นั้นมีความชัดเจนและสอดคล้องในจุดยืนของตัวเองที่ว่า มาเลเซียได้เสียสิทธิการปรับราคาน้ำภายใต้ข้อตกลงน้ำปี 1962 ที่ตกลงในปี 1987
กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์แถลงว่า จุดยืนสิงคโปร์อยู่ในการแถลงต่อรัฐสภาสิงคโปร์เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ วิเวียน บาลากริชนาน (Vivian Balakrishnan) ซึ่งได้ประกาศว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ได้กล่าวในปี 2002 ว่า มาเลเซียไม่ได้ร้องขอการปรับราคาในเวลาที่ข้อตกลงสิ้นสุด โดยเหมือนที่จะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะส่งผลต่อการราคาของน้ำบำบัดที่ถูกขายออกมาจากสิงคโปร์ให้กับมาเลเซีย
ซึ่งบาลากริชนานชี้ว่าสิงคโปร์จะยังคงทำตามข้อตกลงปัจจุบัน และหวังว่าทางมาเลเซียจะทำตามเช่นกัน