เอเจนซีส์ - คำเตือนของผู้ตีพิมพ์ “นิวยอร์กไทมส์” ที่ได้รับเชิญไปพบเป็นการส่วนตัวที่ทำเนียบขาวว่า การโจมตีสื่อของประธานาธิบดีเป็นอันตรายต่อประเทศชาติและอาจนำไปสู่ความรุนแรง ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะล่าสุดทรัมป์ยังออกมาทวีตรัวๆ โจมตีสื่อว่า รายงานข่าวคณะบริหารแง่ลบ ก่อนทิ้งท้ายว่า “ไม่รักชาติอย่างยิ่ง”
ในวันอาทิตย์ (29 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตกล่าวถึงการพบกันดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ที่ผ่านมาว่า ตนและเอ.จี. ซัลส์เบอร์เกอร์ ผู้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ “ใช้เวลานานคุยกันเรื่องข่าวปลอมมากมายที่สื่อเผยแพร่และการที่ข่าวปลอมกลายมาเป็นวลี ‘ศัตรูของประชาชน’ น่าเศร้า!”
“ศัตรูของประชาชน” คือวลีที่ทรัมป์ใช้เหมารวมเรียกนักข่าว และทรัมป์สรุปว่า การพบกันครั้งนั้นซึ่งมีเจมส์ เบนเน็ต บรรณาธิการหน้าบทบรรณาธิการของนิวยอร์กไทมส์ ร่วมหารือด้วยนั้น “ดีและน่าสนใจมาก”
ด้านซัลส์เบอร์เกอร์ที่สืบทอดตำแหน่งจากพ่อเมื่อวันที่ 1 มกราคม บอกว่า เป้าหมายหลักในการพบทรัมป์คือ เพื่อบอกกับประธานาธิบดีโดยตรงว่า คำพูดต่อต้านสื่อของเขาไม่ได้แค่สร้างความแตกแยก แต่เป็นอันตราย
เขายังบอกกับประธานาธิบดีว่า นอกจากวลี “ข่าวปลอม” จะไม่เป็นความจริงและอันตรายแล้ว การตีตรานักข่าวเป็น “ศัตรูของประชาชน” ยังอาจเป็นภัยคุกคามต่อนักข่าวและนำไปสู่ความรุนแรง รวมทั้งยังย้ำว่า ผู้นำประเทศอื่นอ้างอิงคำพูดของทรัมป์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามสื่อมวลชน
ซัลส์เบอร์เกอร์เตือนว่า คำพูดของทรัมป์ทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง บ่อนทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยของอเมริกา รวมถึงความมุ่งมั่นต่อเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อที่ถือเป็นสินค้าออกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
เขาสำทับว่า ได้กล่าวชัดเจนว่า ไม่ได้ขอให้ทรัมป์เพลาการโจมตีนิวยอร์กไทมส์ ถ้าคิดว่า หนังสือพิมพ์เล่นข่าวไม่เป็นธรรม แต่ขอร้องให้ทบทวนการโจมตีเหมารวมสื่อสารมวลชน ซึ่งเขาเชื่อว่า เป็นอันตรายต่อประเทศ
ทรัมป์นั้นติดตามอ่านข่าวและให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทมส์เป็นประจำ แต่บ่อยครั้งเยาะหยันว่า “นิวยอร์กไทมส์ที่กำลังล่มสลาย”
ทว่า เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานว่า มีรายได้ในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทวิตเกี่ยวกับการพบกับซัลส์เบอร์เกอร์รอบแรก ทรัมป์โจมตีสื่อด้วยทวิตระลอกใหม่ที่รวมถึงการประกาศว่า จะไม่ยอมให้ผู้ที่จงเกลียดจงชังตัวเองในอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ที่กำลังจะตาย เอาประเทศไปเลหลัง
ประมุขทำเนียบขาวยังกล่าวหานักข่าวนำ “ประเด็นหารือภายในรัฐบาล” ไปเผยแพร่ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตคนจำนวนมาก โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมแต่ทิ้งท้ายว่า “ไม่รักชาติอย่างยิ่ง” และสำทับว่า เสรีภาพของสื่อต้องมาพร้อมความรับผิดชอบในการรายงานข่าวอย่างถูกต้อง
ทรัมป์ยังอ้างว่า รายงานข่าวเกี่ยวกับคณะบริหารของตน 90% ล้วนเป็นข่าวแง่ลบ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อสื่อตกต่ำสุดขีด โดยพาดพิงถึงนิวยอร์กไทมส์ และวอชิงตันโพสต์ เป้าหมายขาประจำ และว่า “หนังสือพิมพ์สองฉบับนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
ด้านซัลส์เบอร์เกอร์เผยว่า ที่ยอมรับคำเชิญของทำเนียบขาวเพราะผู้ตีพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ย่อมพบปะหารือกับคณะบริหารของประธานาธิบดีชุดต่างๆ และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับรายงานข่าว เป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งนี้ทำเนียบขาวขอให้ซัลส์เบอร์เกอร์และเบ็นเน็ตงดเปิดเผยเรื่องการพบปะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ในเมื่อทรัมป์เป็นฝ่ายเริ่มต้นทวิตเล่าเรื่องที่พบกัน เขาจึงตัดสินใจแสดงความเห็นของเขาเกี่ยวกับการพบปะหารือคราวนั้นบ้าง
ทวิตระลอกหลังของทรัมป์ยังทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การพบกับซัลส์เบอร์เกอร์ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างทำเนียบขาวกับสื่อได้จริงหรือ
ทั้งนี้ กลางสัปดาห์ที่แล้ว เคตแลน คอลลินส์ ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น ถูกทำเนียบขาวห้ามไม่ให้เข้าร่วมฟังการแถลงข่าว หลังจากที่ซักถามคำถามที่ทำเนียบขาวระบุว่า “ไม่เหมาะสม” ในการแถลงข่าวรอบก่อนหน้านั้น
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ยังเกิดเหตุชายคนหนึ่งบุกยิงสำนักงานของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในแอนนาโปลิส รัฐแมริแลนด์ และสังหารพนักงานเสียชีวิต 5 คน