เอเจนซีส์ - สงครามการค้าขยายตัวเร็วกว่าที่คิด จีนกล่าวหาอเมริกาพยายามใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแก เตือนตอบโต้แน่หลังจากทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีศุลกากรเก็บจากสินค้าเมดอินไชน่าล็อตใหม่มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่เพิ่งบังคับใช้แผนการรีดภาษีกับสินค้าจีนสดๆ ร้อนๆ 34,000 ล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วถูกปักกิ่งสวนกลับทันควันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อวันพุธ (11 ก.ค.) ว่า ตกใจกับมาตรการที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงของอเมริกา และจะร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ)
ขณะที่ หวา ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงว่า คำขู่ของวอชิงตันเป็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่เข้าข่มเหงรังแก ซึ่งจีนจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และว่า นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างระบบเอกภาคนิยมกับพหุภาคี ลัทธิกีดกันการค้ากับการค้าเสรี และอำนาจกับกฎระเบียบ
ปักกิ่งย้ำว่า จะตอบโต้วอชิงตันด้วยมาตรการภาษีศุลกากรที่รวมถึงมาตรการเชิงคุณภาพ ซึ่งทำให้ธุรกิจอเมริกันในแดนมังกรพากันกังวลว่า อาจหมายถึงการดำเนินการต่างๆ เช่น การเพิ่มการตรวจสอบเพื่อชะลอการอนุมัติการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯเหล่านี้ ไปจนกระทั่งถึงการคว่ำบาตร
ไอริส ปัง นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็นจี ฮ่องกง มองว่า จีนยังอาจจำกัดการเดินทางไปยังอเมริกาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 115,000 ล้านดอลลาร์ หรือไม่ก็เทขายพันธบัตรคลังสหรัฐฯ บางส่วน
ปฏิกิริยาเหล่านี้จากจีนเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการที่โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ออกคำแถลงเมื่อวันอังคาร (10) กล่าวหาจีนยังคงตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีศุลการกรซึ่งอเมริกาบังคับใช้ไปก่อนหน้านี้ คำแถลงบอกว่าการตอบโต้ของแดนมังกรเป็นไปโดยปราศจากความชอบธรรมหรือไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ ทั้งที่อเมริกาเรียกร้องมากว่าปีให้จีนยุติแนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เปิดตลาด และเปิดรับการแข่งขันอย่างแท้จริง
“ดังนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงสั่งให้กระทรวงพาณิชย์เริ่มกระบวนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม 10% จากสินค้านำเข้าของจีนเพิ่มเติมขึ้นอีกเป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์” คำแถลงระบุ
โดยที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะเปิดให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายชื่อสินค้าที่จะถูกลงโทษในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และใช้เวลาพิจารณาราว 2 เดือน หลังจากนั้นจะส่งให้ทรัมป์ตัดสินใจว่า จะบังคับใช้มาตรการลงโทษหรือไม่
ความขัดแย้งทางการค้าที่ขยายตัวบานปลายออกไปเช่นนี้ ได้ผลักดันให้นักลงทุนเทขายหุ้น โดยตลาดเอเชียในวันพุธดิ่งลงกว่า 1%
เป้าหมายสุดท้ายของคณะบริหารสหรัฐฯ คือ การเรียกเก็บภาษีเพิ่ม 40% จากสินค้านำเข้าจีน หรือเท่ากับที่ปักกิ่งเรียกเก็บตอบโต้กับสินค้าอเมริกัน หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้ว อเมริกาเพิ่งบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากร 25% จากสินค้าจีนมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์
ตอนนั้นจีนกล่าวหาอเมริกาเปิดฉากสงครามการค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ แต่ทรัมป์ยืนกรานว่า ปักกิ่งฉวยผลประโยชน์จากเศรษฐกิจอเมริกา และประกาศจะขูดภาษีสินค้าจีนมูลค่าถึง 450,000 ล้านดอลลาร์
สหรัฐฯนั้นขาดดุลการค้าจีนในปีที่ผ่านมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 375,200 ล้านดอลลาร์ และข้อเท็จจริงนี้ยิ่งทำให้ทรัมป์กราดเกรี้ยว ถึงแม้นักเศรษฐศาสตร์จะชี้ว่าตัวเลขนี้ไม่ได้รวมถึงดุลการค้าที่ไม่ใช่ตัวสินค้า รวมทั้งมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนเรื่องนี้ได้
ในวันอังคาร (10) พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้เผยแพร่รายชื่อสินค้านำเข้าของจีนหลายพันรายการซึ่งคณะบริหารทรัมป์ต้องการที่จะเล่นงานด้วยมาตรการภาษีศุลกากรงวดใหม่ โดยประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์อาหารหลายร้อยรายการ รวมไปถึง ยาสูบ, เคมีภัณฑ์, ถ่านหิน, เหล็กกล้า, อลูมิเนียม
แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุพยายามมุ่งแต่รายการสินค้าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอเมริกันน้อยที่สุด ทว่า สภาหอการค้าอเมริกันแสดงความกังวลว่า มาตรการภาษีล่าสุดจะส่งผลให้สินค้าที่ครัวเรือน เกษตรกร แรงงาน และผู้ประกอบการอเมริกันใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแพงขึ้น รวมทั้งยังอาจกระตุ้นให้จีนตอบโต้กลับซึ่งจะส่งผลต่อแรงงานอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับหลุยส์ คุจส์ ผู้อำนวยการเอเชีย อิโคโนมิกส์ ของออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ในฮ่องกง คาดว่า แม้จีนประณามสหรัฐฯ อย่างรุนแรง แต่ยังคิดหานโยบายตอบโต้เพียงในระดับจำกัด เนื่องจากมาตรการล่าสุดของอเมริกายังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเริ่มต้นเท่านั้น
ขณะเดียวกัน นอกจากใช้มาตรการตาต่อตาฟันต่อฟันกับอเมริกาแล้ว ปักกิ่งยังเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ร่วมกันต่อต้านสหรัฐฯ ด้วยการสนับสนุนแนวทางการค้าเสรีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ ตัวอย่างเช่นระหว่างเดินทางเยือนเยอรมนีในสัปดาห์นี้ นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ได้ร่วมลงนามข้อตกลงธุรกิจมูลค่ากว่า 23,000 ล้านดอลลาร์