เอเจนซีส์ - พิธีเผาศพของ โชโก อะซะฮะระ (Shoko Asahara) วัย 63 ปี อดีตเจ้าลัทธิโอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo) มีขึ้นในวันนี้(9 ก.ค)ที่กรุงโตเกียว ล่าสุดยังไม่ชัดใครจะเป็นผู้ได้รับมอบอัฐิ หลังมีรายงานพบตัวเจ้าลัทธิร้องขอผู้คุมให้ส่งมอบร่างแก่ ซาโตกะ มัตสึโมะโตะ(Satoka Matsumoto) บุตรสาวคนที่ 4 วัย 29 ปีที่เคยยื่นเรื่องเป็นทางการต่อศาลขอตัดขาดจากครอบครัว แต่ภรรยาอดีตเจ้าลัทธิและบุตรรายอื่นยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรียุติธรรมญี่ปุ่นวันเสาร์(7 ก.ค)ขอรับเถ้ากระดูก สื่อญี่ปุ่นรายงาน โตเกียวสุดวิตก หวั่นมือดีแอบใช้เพื่อปลุกระดม
หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุน(Mainichi Shimboon)ของญี่ปุ่นรายงานวันนี้(9 ก.ค)ว่า เจ้าลัทธิโอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo) ที่ถูกประหารชีวิตไปด้วยการถูกแขวนคอในวันศุกร์(6)ได้ถูกฌาปนกิจในกรุงโตเกียวในวันจันทร์(9)ที่มีรายงานว่าสาวกอื่นถูกฌาปนกิจด้วยเช่นกัน
และสำหรับอัฐิของเขา สื่อญี่ปุ่นเชื่อว่า ทางการรัฐบาลญี่ปุ่นจะเป็นผู้เก็บรักษาไว้ในเวลานี้ก่อนที่จะตัดสินใจว่าใครจะได้รับมอบต่อไป แหล่งข่าวใกล้ชิดที่รู้เรื่องนี้กล่าว
โดยไมนิจิ ชิมบุนชี้ว่า สิทธิการรับมอบนั้นตกอยู่ในความสนใจตั้งแต่วันศุกร์(6) ซึ่งเป็นวันประหารโชโกอะซะฮะระ (Shoko Asahara) วัย 63 ปี และสาวกอื่นอีก 6 คน
ซึ่งแหล่งข่าวอ้างว่า อะซะฮะระ ที่มีชื่อจริงคือ ชิซึโอะ มัตสึโมะโตะ (Chizuo Matsumoto) ได้กล่าวกับเรือนจำญี่ปุ่น ซึ่งในรายงานของเจเปนไทม์ชี้ว่า เจ้าลัทธิได้ร้องขอกับผู้คุมเรือนว่า ตัวเขามีความประสงค์ที่จะมอบร่างของตัวเองให้กับบุตรสาวคนที่ 4 อายุ 29 ปี
แต่อย่างไรก็ตามภรรยาของเจ้าลัทธิวัย 59 ปี โทโมโกะ มัตสึโมะโตะ (Tomoko Matsumoto) อดีตสาวกลัทธิโอมชินริเกียวระดับสูง และบุตรคนอื่นของคนทั้งคู่ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรียุติธรรมญี่ปุ่น โยโกะ คามิคาวา (Yoko Kamikawa) ในวันเสาร์(7) แจ้งความประสงค์เพื่อขอรับอัฐิกลับไป อ้างอิงจากทนายความของเธอ
ทั้งนี้สื่อเจแปนไทมส์รายงานว่า ภรรยาของอะซะฮะระ ซึ่งนอกจากจะเป็นสาวกระดับสูงของลัทธิแล้ว ยังพบว่าเธอเคยถูกจำคุกจากคดีสังหารสาวกคนอื่น
ซึ่งในการรายงานของไมนิจิ ชิมบุนระบุว่า หนังสือคำร้องไม่มีการลงนามจากบุตรสาวคนที่ 4 ส่วนเจแปนไทม์สเปิดเผยในรายละเอียดว่า หนังสือถูกลงนามโดยโทโมโกะ บุตรสาวคนที่ 2 ยูมิ มัตสึโมะโตะ (Umi Matsumoto) ซึ่งเป็นนามสมมุติ และบุตรคนอื่นๆจากทั้งหมด 6 คน
และหลังจากที่โทโมโกะได้รับทราบจากเรือนจำญี่ปุ่นที่ผู้ตายไม่ได้แต่งตั้งให้ครอบครัวเป็นทายาทในการรับศพ โทโมโกะได้โต้เถียงว่า “เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้” โดยชี้ไปถึงปัญหาความยากลำบากในการสื่อสารกับตัวของอะซะฮะระ
ทางครอบครัวของเจ้าลัทธิยืนยันว่า อะซะฮะระไม่มีความสามารถในการมอบอำนาจให้ใครในการจัดการ โดยอ้างอิงไปถึงเอกสารที่ลงวันที่ 10 พ.ค ที่ถูกส่งโดยแพทย์ประจำเรือนจำญี่ปุ่นที่ระบุว่า ***เป็นการยากที่จะเริ่มต้นการสนทนากับเขา***
ทั้งนี้อ้างอิงจากกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น พบว่าโทโมโกะผู้เป็นภรรยาแสดงความยินยอมในการให้มีการจัดฌาปนกิจขึ้น ซึ่งตามกฎหมายญี่ปุ่น บุคคลที่ได้รับการมอบอำนาจจากนักโทษประหารก่อนหน้าจะมีสิทธิ์ได้รับร่างหลังจากการประหารชีวิตได้เสร็จสิ้นแล้ว
ทั้งนี้ ซาโตกะ มัตสึโมะโตะ (Satoka Matsumoto) ชื่อสมมุติของบุตรสาวคนที่ 4 ของเจ้าลัทธิโอมชินริเกียว เป็น 1 ในทั้งหมดพี่น้อง 6 คน ประกอบไปด้วยเป็นชาย 2 คน และหญิง 4 คน
โดยในรายงานของเจแปนไทม์สเมื่อวันที่ 26 มี.ค 2015 ริกะ มัตสึโมะโตะ (Rika Matsumoto)บุตรสาวคนที่ 3 วัย 31 ปีในเวลานั้น ได้ออกมายอมรับกับสังคมผ่านหนังสือบันทึกความทรงจำของตัวเอง “โทมัตตะ โตไก” (Tomatta Tokei) หรือ “นาฬิกาที่ได้หยุดลง” ว่า การเป็นบุตรสาวของเจ้าลัทธิโอมชินริเกียวทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขในสังคม
ในรายงานพบว่า อะซะฮะระถูกจับกุมในขณะที่ริกะมีอายุได้เพียง 12 ปี และหลังจากนั้นเธอต้องผ่านมรสุมชีวิตจากการหย่าร้างระหว่างผู้เป็นพ่อและแม่หลังการจับ และมารดาของเธอถูกส่งตัวเข้าเรือนจำในความผิดฐานฆ่าสาวกคนอื่นในลัทธิ
แต่อย่างไรก็ตาม ริกะนั้นยังคงมีความรู้สึกที่ดีกับพ่อ อะซะฮะระ ซึ่งต่างจากน้องสาวของเธอ “ซาโตโกะ” โดยในการให้สัมภาษณ์กับไนอิจิ ชิมบุนเมื่อวันที่ 20 มี.ค ที่ผ่านมา เธอได้กล่าวว่า
“พ่อเป็นเหมือนทั้งโลกสำหรับดิฉัน” และกล่าวว่า “วันนั้นดิฉันเหมือนสูญเสียความรู้สึกในการรับรู้ความเป็นจริงไป และนาฬิกาชีวิตของตัวเองได้ตายลง” ริกะ มัตสึโมะโตะ อายุ 34 ปีในปัจจุบันแสดงความเห็น
ในขณะเดียวกัน ซาโตโกะ บุตรสาวคนที่ 4 ที่เจ้าลัทธิต้องการที่จะให้เธอเป็นผู้รับอัฐิ พบว่า ได้เคยยื่นเรื่องขอประกาศยื่นตัดขาดกับบิดาและมารดาอย่างเป็นทางการก่อนหน้า
โดยในปีที่ผ่านมา บุตรสาวรายที่ 4 ได้ยื่นเรื่องต่อทางการญี่ปุ่น ร้องขอการไม่ให้สิทธิครอบครองทรัพย์สินใดๆของเธอแก่บิดาโชโก อะซะฮะระ และมารดา โทโมโกะ มัตสึโมะโตะ ในกรณีหลังจากเธอเสียชีวิต
ซึ่งในรายงานของสื่อญี่ปุ่นพบว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ศาลครอบครัวญี่ปุ่นได้พิพากษาเห็นชอบกับคำร้องของซาโตโกะ มัตสึโมโตะ
ในการเปิดแถลงข่าวที่กรุงโตเกียวหลังจากนั้น บุตรสาวคนที่ 4 ประกาศอย่างหนักแน่นว่า เธอขาดการติดต่อสื่อสารกับครอบครัวหรือสมาชิกลัทธิโอมชินริเกียวอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งเธออย่างเปิดใจว่า มีอายุได้เพียง 5 - 6 ปีในขณะที่พ่อแม่ถูกจับกุม ซึ่งซาโตกะได้เปิดเผยว่า เธอไม่เคยมีความทรงจำเกี่ยวข้องกับบิดา และในขณะที่เธอได้ถือกำเนิดขึ้นมา อะซะฮะระผู้เป็นพ่อได้กลายเป็นเจ้าลัทธิไปแล้ว ส่วนมารดาโทโมโกะกลายเป็นสาวกระดับอาวุโสของลัทธิ
เธอกล่าวอีกว่า เมื่อเธอมีอายุได้เพียงแค่ 2 - 3 ขวบ เธอต้องอยู่ตามลำพังภายในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง มีลักษณะคล้ายกับห้องเก็บของ และเมื่อน้องชายของเธอได้ถือกำเนิดขึ้น เธอจำได้ว่าเดินเข้าไปในห้องของมารดา แต่กลับถูกปฎิเสธจากผู้เป็นแม่ โดยกล่าวกับเธอว่า “ไม่มีห้องสำหรับเธอที่นี่อีกต่อไป”
ทนายความที่นั่งข้าง ซาโตโกะ มัตสึโมโตะ ในระหว่างการแถลงได้เสริมว่า ลูกความของเขาได้ยื่นเรื่องในเดือนธันวาคม 2015 ร้องขอให้ถอดสิทธิจากความเป็นทายาทของอะซะฮะระและโทโมโกะ
และพบว่าคนทั้งคู่ไม่แสดงการคัดค้านและยังไม่เดินทางมาเข้าร่วมการพิจารณาคดีที่ถูกกำหนดขึ้นในปีที่ผ่านมา
สื่อญี่ปุ่นยังชี้ว่า บุตรสาวคนที่ 4 ยังเปิดเผยต่อว่า เธอไม่เคยเรียกอะซะฮะระว่า “พ่อ” โดยเธอกล่าวว่า เธอมีความกลัวตลอดเวลาว่า เธออาจจะต้องเสียชีวิตจากคำสั่งของผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ
โดยในวัยเด็กพบว่า ซาโตโกะถูกบังคับให้ต้องรับประทานไข่เจียวผสมเศษหม้อแตก และหลังจากที่พ่อและแม่ถูกจับ ตั้งแต่ช่วงอายุ 8 -10 ปี อดีตสาวกคนอื่นๆของลัทธิบังคับให้ต้องสวมเครื่องสวมศีรษะตลอดเวลา และอาหาร 1 มื้อของทุก 4 วัน จะได้รับแค่ข้าวต้มแบบข้นแฉะกับไข่ ส่งผลต่อการเติบโตทางร่างกายอย่างมาก โดยซาโตโกะกล่าวว่า เธอสามารถใช้นิ้วรอดเข้าระหว่างซี่โครงของตัวเองได้
นอกจากนี้ในความทรงจำ บุตรสาวคนที่ 4 ยังชี้ว่า เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ชมโทรทัศน์ภายในบ้าน ซึ่งบ้านของเธอจะเปิดคำสอนของพ่อที่เป็นเจ้าลัทธิตลอดเวลา 24 ช.ม และเธอยังถูกบังคับให้ต้องอาบน้ำร้อนจัดอุณหภูมิสูง 45-46 องศาเซลเซียส ซึ่งครั้งหนึ่งถึงกับหมดสติหลังถูกจับลงโทษให้ขังอยู่ด้านในจากสาเหตุที่พยายามปีนหนีออกมา
ซาโตโกะ บุตรสาวคนที่ 4 ยังกล่าวต่อในการแถลงข่าวว่า เธอต้องการให้ผู้เป็นพ่อของเธอถูกประหารชีวิตเพื่อรับโทษในสิ่งที่ได้ก่อ เป็นความเห็นที่ต่างจากบุตรสาวคนที่ 3 ริกะ มัตสึโมะโตะ ที่ชี้ว่า หากผู้เป็นพ่อป่วย สมควรที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาล
ไนอิจิ ชิมบุน สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า ในเวลานี้ทางเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นต้องการทราบเป็นอย่างมากว่าใครจะเป็นผู้ครอบครองอัฐิของเจ้าลัทธิ เพราะเกรงว่าอาจมีมือดีแอบนำไปใช้เพื่อปลุกระดมทำการต่อต้านรัฐบาลโตเกียวและสังคมเป็นการตอบโต้
นอกจากนี้ทางตำรวจญี่ปุ่นเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังจับตาสมาชิกองค์กรที่แยกออกมาจากลัทธิโอมชินริเกียว ได้แก่กลุ่มอเลฟ(Aleph) และอีก 2 กลุ่มที่แตกออกไป