เอเอฟพี - ประธานาธิบดีนิการากัว แดเนียล ออร์เตกา ปฎิเสธข้อเรียกร้องจากฝ่ายค้านที่ต้องการให้มีการจัดเลือกตั้งล่วงหน้า ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองเห็นตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการประท้วงไม่ต่ำ 220 คนล่าสุดนับตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา ส่งม็อบจัดตั้งลงถนนกลางกรุงมานากัววันเสาร์(7 ก.ค) ต้านพวกวางแผนรัฐประหาร ด้านสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาฯสำนักงานนายกเทศมนตรีกรุงมานากัว และผู้บริหารด้านพลังงานนิการากัว
เอเอฟพีรายงานวันนี้(8 ก.ค)ว่า ผู้นำเผด็จการนิการากัวกล่าวปัดอย่างไร้เยื่อใยจากข้อเรียกร้องของฝ่ายค้านที่ต้องการให้ประเทศเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด
“นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ถูกตั้งขึ้นโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐ ผ่านประชาชน คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแค่ชั่วข้ามคืนเป็นเพราะกลุ่มคนวางแผนการรัฐประหารมีแนวความคิดต้องการ” ประธานาธิบดี แดเนียล ออร์เตกา แถลงวันเสาร์(7)กับกลุ่มผู้สนับสนุนที่เดินรณรงค์ต่อต้านฝ่ายค้านวันเสาร์(7) กลางกรุงมานากัว
ทั้งนี้พบว่าพระบิชอปแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกอยู่ในระหว่างความพยายามที่จะทำให้เกิดการเจรจาระหว่างรัฐบาลออร์เตกาและฝ่ายค้านเพื่อที่จะให้การประท้วงที่ยืดเยื้อยุติรวมไปถึงการกดขี่จากทางรัฐบาลนิการากัว ทีเห็นประเทศเกิดความไร้เสถีนรภาพมาตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย ที่ผ่านมา
เอเอฟพีชี้ว่า ออร์เตกาในวัย 72 ปี ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบต่อข้อเสนอที่ออกมาจากผู้นำคริสตจักรคาทอลิกที่ทรงอิทธิพลในประเทศ ต้องการให้ออร์เตกากำหนดการเลือกตั้งทั่วไปต่เดิมที่จะเกิดขึ้นในปี 2021 ให้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้าแทน
คณะกรรมธิการชุดไกล่เกลี่ยได้แถลงในวันพฤหัสบดี(5)ว่า พวกเขาจะจัดการประชุมโต๊ะกลมรอบใหม่ในวันจันทร์(9) เวลา 10.00 น.
ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนกัวเตมาลาที่เข้าร่วมการประท้วงต่างเรียกร้องให้ออร์เตกาลาออก โดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวชี้ว่า ออร์เตกาพร้อมภรรยา โรซาริโอ มูริลโล( Rosario Murillo) ซึ่งทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ร่วมกันสร้างความเป็นเผด็จการผ่านระบบเอื้อพวกพ้อง และการกดขี่ที่โหดร้าย
ออร์เตการ์ประกาศบนเวทีที่กรุงมานากัวว่า “เราจะคอยดูกันว่าประชาชนจะยอมลงคะแนนเสียงให้กับพวกวางแผนการทำรัฐประหารหรือไม่ ที่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาได้นำความรุนแรงเป็นอย่างมากเข้ามา” และย้ำว่า “จะต้องมีเวลาสำหรับการเลือกตั้ง” พร้อมชี้ว่า “ทุกสิ่งมีเวลาของมันเอง”
ซึ่งผู้สนับสนุนหลายพันคนของออร์เตกาออกเดินขบวนในวันเสาร์(7) ประกาศประณามกลุ่มวางแผนการทำรัฐประหาร โดยประกาศ “ขอให้ล่มจมไปกับพวกวางแผนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครต้องการก้าวถอยหลัง ผู้บัญชาการของฉันขอให้อยู่ พวกเราต้องการความสงบ พร้อมกับโบกธงของพรรคออร์เตกา พรรคซาดินิสต่ เนชันแนล ลิเบอเรชัน ฟรอนต์( Sandinista National Liberation Front)”
การเดินขบวนเริ่มต้นจากจัตุรัส พลาซา เด ลาส วิคทอริอัส (Plaza de las Victorias) มุ่งหน้าสู่อูโก ชาเวซ โรทุนดา(Hugo Chavez Rotunda) ซึ่งหนึ่งในผู้เข้าร่วมการรณรงค์คือ กิลเลอร์ โม รามิเรซ(Guillermo Ramirez) ช่างก่ออิฐวัย 43 ปีกล่าวให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า “ผมสนับสนุนผู้บัญชาการออร์เตกา เป็นแค่คนเดียวเท่านั้นที่ดูแลคนจนต่อต้านการทำรัฐประหารของการเมืองปีกขวา…ซึ่งเป็นแนวคิดของคนพวกนี้ เป็นกลุ่มคนที่ทำร้ายประชาชน”
ในขณะที่สหรัฐฯเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลของเผด็จการออร์เตกาเพื่อให้มีความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพโดยพบว่าในวันพฤหัสบดี(5)กระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ประกาศขึ้นบัญชีดำทางการเงินแก่ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาตินิการากัว ฟรานซิสโก ฮาเวียร์ มาดริซ(Francisco Javier Diaz Madriz) และเลขาธิการประจำสำนักนายกเทศมนตรีกรุงมานากัว ฟิเดล อันโตนิโอ โมเรโน บริโอเนส( Fidel Antonio Moreno Briones )โดยอ้างไปถึงบทบาทจากการที่กลุ่มผู้ประท้วงต้านแดเนียล ออร์เตกาถูกทำร้ายทุบตี
รวมทั้งยังออกคำสั่งประกาศคว่ำบาตร โฮเซ ฟรานซิสโก โลเปซ เซนเตโน( Jose Francisco Lopez Centeno) ผู้บริหารด้านพลังงาน โดยทางกระทรวงการคลังชี้ไปถึงการไซฟ่อนเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ของบริษัท 2 แห่งที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลของออร์เตกาเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองและของบรรดาผู้นำนิการากัว
และยังเป็นวันเดียวกันกับที่ซาอิด ราอัด อัล ฮุสเซน (Zeid Ra’ad Al Hussein) ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ OHCHR ได้ออกมาเรียกร้องให้นิการากัวมีมาตรการเพื่อป้องกันความรุนแรงที่เกิดกับผู้ประท้วง