เอเจนซีส์ – ทรัมป์ยอมถอย สั่งยุติการพรากพ่อแม่ลูกบริเวณชายแดนเม็กซิโก หลังถูกกดดันและประณามทั้งจากภายในพรรครีพับลิกันของตัวเอง เดโมแครต และนานาชาติ กระนั้น ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า เด็กที่ถูกแยกกักกันจะได้กลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่ถูกคุมขังในเรือนจำเมื่อไร ที่ไหน และอย่างไร
ในวันพุธ (20 มิ.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารกำหนดให้กักตัวครอบครัวผู้อพยพที่ถูกจับที่ด่านชายแดนไว้ด้วยกัน จนกว่าการพิจารณาโทษในคดีอาญาจะเสร็จสิ้น
แม้คำสั่งนี้เป็นการยุตินโยบายที่เรียกเสียงประณามจากทั้งสันตะปาปาฟรานซิส นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ ตลอดจนถึงกลุ่มสิทธิมนุษยชน และผู้นำธุรกิจ แต่ยังคงมีคำถามค้างคาว่า เด็กที่พ่อแม่พาลักลอบเข้าอเมริกาด้วย และได้ถูกพรากแยกออกไปไว้ตามศูนย์กักกันและสถานสงเคราะห์แห่งต่างๆ ในแดนอินทรีช่วงเวลาเดือนเศษที่ผ่านมา ซึ่งทางการสหรัฐฯระบุว่ามีจำนวนกว่า 2,300 คนนั้น ยังอาจถูกกักตัวไปไม่มีกำหนด
แม้กระทั่งโฆษกกระทรวงสาธารณสุขยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะมีการดำเนินการกับเด็กเหล่านั้นอย่างไรต่อไป และทำได้เพียงยืนยันว่า การทำให้ครอบครัวผู้อพยพได้กลับไปอยู่ร่วมกันคือเป้าหมายสูงสุด
คำสั่งล่าสุดของทรัมป์ซึ่งเป็นการกลับลำนโยบายครั้งสำคัญที่เขาแทบไม่เคยยอมทำมาก่อนเลย ยังไม่ได้เป็นการยกเลิกนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” ที่บังคับใช้มาตลอด 10 สัปดาห์ ซึ่งกำหนดให้มีการดำเนินคดีอาญากับผู้ลักลอบข้ามแดน
ทรัมป์กล่าวหลังพิธีลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ณ ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ในบรรยากาศซึ่งเห็นได้ชัดว่ารีบร้อนจัดขึ้น ว่าคำสั่งนี้ต้องการให้ครอบครัวผู้อพยพได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากัน ควบคู่กับรับประกันว่า อเมริกามีกฎระเบียบควบคุมชายแดนที่เข้มแข็ง
ทั้งนี้ คลิปภาพเด็กนั่งในกรงตาข่ายและคลิปเสียงเด็กร้องไห้คร่ำครวญที่เผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้นโยบายคนเข้าเมืองของทรัมป์โดนสับเละทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ
นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ, จัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา พระสันตะปาปา คณะมนตรียุโรป ต่างประณามนโยบายความอดทนเป็นศูนย์ของทรัมป์
หลังจากการเปลี่ยนใจล่าสุดของทรัมปแล้ว รัฐบาลในประเทศต่างๆ ของอเมริกากลางและเม็กซิโกแสดงความยินดี แต่สำทับว่า จะจับตาอย่างใกล้ชิดว่า อเมริกาเคารพสิทธิพลเมืองของตนหรือไม่
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ตระหนักว่า นโยบายที่พรากพ่อแม่ลูกจากกันกำลังเป็นประเด็นทางการเมือง และยังบอกว่า เมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ขอร้องเป็นการส่วนตัวให้ทรัมป์ยุติวิกฤตสิทธิมนุษยชนคราวนี้
ตัวทรัมป์เองยังเปิดเผยว่า ได้คุยกับอิวองกา ลูกสาวและผู้ช่วยในทำเนียบขาว เกี่ยวกับนโยบายที่เป็นปัญหานี้
ก่อนหน้านี้ทรัมป์พยายามโยนความผิดและบีบให้เดโมแครตยอมจำนน เช่น ยืนยันว่าตนเองถูกบังคับให้ต้องทำตามกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายพรากพ่อแม่ลูก และมีเพียงรัฐสภาเท่านั้นที่จะปลดล็อกปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันก็มีความพยายามในรัฐสภาที่จะออกกฎหมายแก้ไขเรื่องนี้ แลกเปลี่ยนกับการที่พวกเดโมแครตต้องสนับสนุนการสร้างกำแพงตลอดแนวพรมแดนติดกับเม็กซิโก
ทว่า เสียงประณามที่เซ็งแซ่มากขึ้นจากทั่วสารทิศทำให้ทรัมป์ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง
จีน แฮมิลตัน ที่ปรึกษากฎหมายของเจฟฟ์ เซสชันส์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ บอกว่า คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์เป็นแค่มาตรการแก้ไขชั่วคราว แต่รัฐสภาจำเป็นต้องผ่านกฎหมายฉบับใหม่เพื่อให้ประธานาธิบดีมีอำนาจในการต่อสู้กับการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น เขายังบอกว่า กฎหมายปัจจุบัน อาทิ ฟลอเรส เซ็ทเทิลเมนต์ ส่งเสริมให้คนลักลอบเข้าอเมริกาพร้อมลูกและคาดหวังว่า ตัวเองจะถูกจับเพื่อให้ได้รับการผ่อนปรนและอนุญาตให้อยู่ในอเมริกา
ทว่า เดโมแครตและกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาคัดค้านทันที วุฒิสมาชิกดิ๊ก เดอร์บิน ประกาศว่า จะยื่นฟ้องศาล ถ้ารัฐบาลดึงดันแก้กฎหมาย ทั้งนี้ ฟลอเรส เซ็ทเทิลเมนต์มีเนื้อหาห้ามการกักตัวเด็กไม่มีกำหนด แม้ว่าจะเป็นการถูกกักตัวร่วมกับครอบครัวก็ตาม
เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯตีความว่า ฟลอเรส เซ็ทเทิลเมนต์อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวครอบครัวผู้ลักลอบข้ามแดนได้แค่ 20 วัน
การกลับลำของทรัมป์ยังทำให้คณะบริหารต้องเผชิญปัญหามากมาย อาทิ การจัดหาสถานที่กักตัวครอบครัวผู้อพยพอยู่ด้วยกันระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งอาจเป็นเวลานาน และวิธีการในการนำเอาพ่อแม่ลูกที่พลัดพรากกันขณะนี้กลับมาอยู่ด้วยกัน
วันอังคารที่ผ่านมา กรมศุลกากรและด่านตรวจชายแดนสหรัฐฯ เผยว่า มีเด็กถูกแยกจากพ่อแม่ที่ชายแดนติดกับเม็กซิโกระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม ถึง 9 มิถุนายน จำนวนถึง 2,342 คน
ทั้งนี้ เดโมแครตและรีพับลิกันมีร่างกฎหมายคนเข้าเมืองอย่างน้อย 2 ร่างที่มุ่งแก้ปัญหาผู้อพยพที่ครอบคลุมขึ้น โดยสภาผู้แทนราษฎรเตรียมลงมติในวันพฤหัสบดี (21)